วันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2552

วิตามินเพื่อดวงตาที่สดใส Vitamin A for Beautiful Eyes


แน่นอนที่สุดว่าวิตามินที่ทำให้ดวงตาสดใสปิ๊งปั๊ง คือ “วิตามินเอ” นั่นเองครับ เพราะวิตามินเอมีสารลูทีนและซีเซนทีน ที่ช่วยในเรื่องของการบำรุงดวงตาของเราให้ชุ่มชื่นและเปล่งประกายสวยงาม นอกจากนี้ยังช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน แต่ในปัจจุบันนี้ได้มีการนำประโยชน์ของวิตามินเอที่มีต่อผิวหนังมาใช้ในการดูแล ผิวพรรณ เนื่องจากวิตามินเอมีคุณสมบัติช่วยในการเจริญเติบโตของเซลล์บุผิวและ พัฒนาการของเซลล์ สามารถยับยั้งการแบ่งตัวและการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้ รวมทั้งช่วยลดการอักเสบของเซลล์อีกด้วย



วิตามินเอจากธรรมชาตินั้นเราสามารถพบได้จากทั้งพืชผัก ผลไม้และผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ครับ แต่วิตามิน เอที่อยู่ในรูปของวิตามินเอ แท้ ๆนั้นจะมีมากในอาหารที่มาจากเนื้อสัตว์ ประเภท ตับ ไข่แดง น้ำนม น้ำมันตับปลา ซึ่งพอเรารับประทานอาหารเหล่านี้เข้าไปแล้ว ร่างกายก็มาจับเอาไปใช้ได้เลย เรียกได้ว่าสำเร็จรูปพร้อมใช้ได้ทันที แต่วิตามินเอในรูปแบบนี้อันตรายเพราะถ้าได้รับมากเกินไป จะสะสมในร่างกายเกิดพิษในร่างกายได้เหมือนกัน ส่วนวิตามินเอที่อยู่ในพืชนั้นจะมาในรูปของสารเบต้าแคโรทีน ที่วงการแพทย์ระบุว่าเป็น “สารตั้งต้น” ของวิตามินเอ นั่นคือเมื่อร่างกายได้รับสารเบต้าแคโรทีนเข้าไปก็จะไปเปลี่ยนเป็นวิตามินเอได้โดยผ่านการย่อยสลายโดยเอนไซม์ ซึ่งเบ ต้าแคโรทีน มีมากในผักใบเขียวเข้ม เช่น ผักบุ้ง ผักหวาน ตำลึง ผักกูด และผลไม้ที่มีสีเหลือง เช่น มะม่วง ฟักทอง แครอท มะละกอสุก เป็นต้น ส่วนเคล็ดลับที่จะทำให้สารเบต้าแคโรทีนแปลงสภาพเป็นวิตามินเอได้อย่างน่าฉงนคือควรรับประทานควบคู่กับอาหารที่มีแร่ธาตุสังกะสี (พบมากในอาหารประเภท หอยนางรม เครื่องใน เนื้อแดงและนม) และวิตามินอีซึ่งได้จากไขมันเพื่อให้ร่างกายดูดซึมวิตามินเอได้ดีขึ้นนั่นเอง
ร่างกายของเรานำวิตามินเอไปใช้สร้างสารโรดอฟซินและควบคุมการทำงานของ ร็อดเซลล์ (rod cells) และโคนเซลล์ (cone cells) ในดวงตาส่วนเรตินา(retina) ทำให้ตามีความสามารถในการมองเห็นในตอนกลางคืนได้ และยังลดความเสื่อมของเซลล์ของลูกตา ลดความเสี่ยงต่อการเป็นต้อกระจก และยังช่วยลดอาการเสี่ยงเป็นโรคตาบอดของผู้สูงอายุด้วยครับ(แต่คงไม่ช่วยเรื่องตาบอดเพราะความรักน่ะ อิอิ) สำหรับขนาดรับประทานของวิตามินเอเพื่อรักษาสุขภาพโดยทั่วไปคือ 5,000 หน่วยสากล(IU) ซึ่งเทียบเท่ากับเบต้าแคโรทีน 3 มิลลิกรัม และสำหรับปริมาณที่สมเหตุสมผลของเบต้าแคโรทีนที่แนะนำให้รับประทานต่อวันเพื่อรักษาสุขภาพให้แข็งแรงคือ 15 มิลลิกรัม ในขณะที่การรับประทานเพื่อหวังผลในการรักษาจะต้องได้รับในปริมาณมากกว่านี้ครับ...

นอกจากวิตามินเอจะช่วยบำรุงสายตาของเราให้สดใสอยู่ตลอดเวลาแล้วมันยังช่วยในการเจริญเติบโตของร่างกาย (เพราะวิตามินเอช่วยส่งเสริมการทำงานของแคลเซียม) ช่วยบำรุงผิวหนังและเยื่อบุอวัยวะต่างๆของร่างกาย เช่นนัยน์ตา ปาก หลอดลม หลอดอาหาร และทางเดินปัสสาวะให้มีความชุ่มชื้นอยู่เสมอ ในสารเบต้าแคโรทีนซึ่งเป็น “สารตั้งต้น” ของวิตามินเอดังที่ได้กล่าวไปแล้วนั้นยังช่วยรักษาผิวพรรณให้นวลเนียนผุดผ่องและชะลอความชราได้ดีนักแล เพราะสารเบต้าแคโรทีนให้ผลในการลดความเสื่อมของเซลล์จากอนุมุลอิสระ ที่สำคัญมันยังช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะมะเร็ง อนุมูลอิสระมีผลเกี่ยวข้องกับมะเร็งเนื้อร้าย การลดปริมาณอนุมูลอิสระเท่ากับลดความเสี่ยงของมะเร็ง ทั้งยังพบว่าเบต้าแคโรทีนให้ผลกระตุ้นเซลล์ภูมิต้านทานในร่างกายที่ชื่อ ที-เฮลเปอร์ ให้ทำงานต้านสิ่งแปลกปลอมได้ดีขึ้น ให้ผลดีกับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อมะเร็งได้ดีอีกด้วยครับ...

บทความจาก groomingnews.com


แอลซี วิต มีลูทีน และซีแซนทีน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น