tag:blogger.com,1999:blog-51260243833715389522024-03-06T13:54:54.787+07:00WHY GIFFARINE : ทำไมกิฟฟารีนสมัครเป็นสมาชิกกิฟฟารีนคุณจะได้มากกว่าที่คุณคิด สนใจซื้อสินค้ากิฟฟารีนหรือสมัครสมาชิกสามารถใช้ รหัสผมซื้อหรือสมัครได้ทุกสาขา รหัส 112062071 ชื่อ มงคล ครับ
msiriboon227@hotmail.comMongkyhttp://www.blogger.com/profile/03088371074340768744noreply@blogger.comBlogger49125tag:blogger.com,1999:blog-5126024383371538952.post-12236495659529321462011-05-17T13:18:00.001+07:002011-05-17T13:20:05.444+07:00ไฟโตสเตอรอล กับโคเลสเตอรอลไฟโตสเตอรอล (Phytosterols) เป็นสารสเตอรอลที่พบในพืช มีโครงสร้างทางเคมีที่คล้ายกับโคเลสเตอรอลมาก จึงช่วยยับยั้งการดูดซึมโคเลสเตอรอลในอาหารที่เรารับประทานเข้าไปไม่ให้เข้า สู่กระแสเลือดด้วยกลไกการเข้าไปแทนที่โคเลสเตอรอล ที่ตัวรับโคเลสเตอรอล (และตัวไฟโตสเตอรอลเองจะถูกดูดซึมได้น้อยมาก) ทำให้โคเลสเตอรอลจากอาหารถูกดูดซึมน้อยลงและถูกขับออกมาพร้อมกับอุจจาระใน ที่สุด ดังนั้นการบริโภคไฟโตสเตอรอลจะช่วยทำให้ระดับโคเลสเตอรอลรวม และแอลดีแอล โคเลสเตอรอล (LDLCholesterol) หรือโคเลสเตอรอลชนิดไม่ดี ลดลง โดยที่ไม่ไปกระทบกับ เอชดีแอล โคเลสเตอรอล (HDL Cholesterol) หรือโคเลสเตอรอลชนิดดี เป็นผลให้ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจลดลง (อ้างอิงที่ 1)<br />
สำหรับงานวิจัยที่สนับสนุนผลของไฟโตสเตอรอลในการลดโคเลสเตอรอลรวม และแอลดีแอลโคเลสเตอรอลนั้น มีหลายงานวิจัยสนับสนุน โดยในปีคศ.1999 นั้น มีงานวิจัยตีพิมพ์ว่า ได้มีการใช้ไฟโตสเตอรอลในการศึกษากับมนุษย์ 16 งานวิจัย รวม 590 คน พบว่า สามารถช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลรวมในเลือดลงได้เฉลี่ย 10% และลดระดับ แอลดีแอล โคเลสเตอรอลลงได้ 13% (อ้างอิงที่ 2) อีกงานวิจัยหนึ่งเป็นการกล่าวถึงว่า การได้รับไฟโตสเตอรอลในรูปเอสเทอร์ 2 กรัมต่อวัน สามารถช่วยลดระดับแอลดีแอล โคเลสเตอรอลลงได้ 10% (อ้างอิงที่ 3)<br />
นอกจากนี้ คณะกรรมการอาหารและยา ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ยอมรับถึงเรื่องประโยชน์ของไฟโตสเตอรอล โดยได้มีประกาศเกี่ยวกับข้อกำหนดเรื่องการกล่าวอ้างทางสุขภาพของ สเตอรอลเอสเทอร์จากพืช (Plant Sterol Ester) กับความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ มีความตอนหนึ่งว่า มีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่แสดงให้เห็นว่า อาหารที่มี สเตอรอลเอสเทอร์จากพืช (Plant Sterol Ester) ช่วยในการลดระดับของโคเลสเตอรอลรวม และแอลดีแอลโคเลสเตอรอลได้ โดยข้อกำหนดนี้อนุญาตให้กล่าวอ้างบนฉลากอาหารประเภทที่มีโคเลสเตอรอลต่ำ หรือมีไขมันอิ่มตัวต่ำได้ว่าสเตอรอลเอสเทอร์จากพืช อาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจได้ ที่การรับประทานอย่างน้อย 1.3 กรัมต่อวัน ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด (อ้างอิงที่ 4)<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="http://www.giffarinethailand.com/en/spaw2/uploads/images/fi2.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="320" src="http://www.giffarinethailand.com/en/spaw2/uploads/images/fi2.jpg" width="154" /></a></div>โคเลสเตอรอล (Cholesterols) คือ สารประกอบไขมันชนิดหนึ่ง พบได้ในสัตว์ และมนุษย์ ร่างกายได้รับโคเลสเตอรอลจากการสังเคราะห์ของตับ และจากอาหารที่รับประทานเข้าไป โคเลสเตอรอลจำเป็นต่อการทำงานของร่างกายโดยทำหน้าที่เป็นส่วนประกอบของผนัง เซลล์ในร่างกาย และยังเป็นสารตั้งต้นของฮอร์โมนบางชนิดที่จำเป็นของร่างกาย และน้ำดี โดยปกติแล้ว โมเลกุลของ โคเลสเตอรอล จะลอยในกระแสเลือดไม่ได้ เมื่อโคเลสเตอรอลเข้าไปอยู่ในกระแสเลือด จะต้องมีการจับตัวกับโปรตีน เรียกว่า ไลโปโปรตีน โดยเราสามารถแบ่ง ไลโปโปรตีน หรือ อาจจะเรียกง่ายๆว่า โคเลสเตอรอลในเลือดออกเป็น2 ประเภท ได้แก่<br />
1. แอลดีแอล โคเลสเตอรอล (LDL Cholesterol)<br />
เปรียบ เสมือน "ตัวผู้ร้าย" โดยแอลดีแอลที่มากเกิน จะเข้าไปแทรก และฝังตัวที่ผนังหลอดเลือด สะสมติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน และจะก่อให้เกิดเป็นพล๊าค (plaque) หรือตะกอน ที่ผนังหลอดเลือดแดง อันเป็นต้นเหตุของโรคหลอดเลือดแดงตีบตัน ยิ่งระดับ LDL โคเลสเตอรอลสูงมากเท่าไหร่ อัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น<br />
<br />
2. เอชดีแอล โคเลสเตอรอล (HDL Cholesterol)<br />
เปรียบ เสมือน "ตำรวจ" คอยจับผู้ร้าย เพราะ เอชดีแอล โคเลสเตอรอล จะทำหน้าที่เป็นตัวพาโคเลสเตอรอล จากหลอดเลือดแดง กลับไปทำลายที่ตับ การมีระดับ HDL โคเลสเตอรอลสูง จึงช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Heart Disease)<br />
(อ้างอิงที่ 5-7)<br />
<br />
การแบ่งระดับของโคเลสเตอรอล<br />
อ้าง อิงจาก ATP III Classification of LDL, Total, and HDL Cholesterol (mg/dL), ATP III Guidelines At-A-Glance Quick Desk Reference, National Cholesterol Education (อ้างอิงที่ 8)<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="http://www.giffarinethailand.com/en/spaw2/uploads/images/fi1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="291" src="http://www.giffarinethailand.com/en/spaw2/uploads/images/fi1.jpg" width="320" /></a></div>โภชนาการเกิน เป็นปัญหาทางโภชนาการที่เกิดจากการบริโภคไขมันจากเนื้อสัตว์มากเกินความต้อง การของร่างกาย ทำให้เกิดโรคไขมันสูงในเลือด ภาวะโคเลสเตอรอลในเลือดสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการเกิด โรคหัวใจขาดเลือด ซึ่งจะมีผลต่อการเกิดอัมพาตได้ กรดไขมันที่อิ่มตัว ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่จะเพิ่มปริมาณของโคเลสเตอรอลในเลือดให้สูงขึ้นได้ (อ้างอิงที่ 9) ดังนั้นพฤติกรรมการใช้ชีวิตและการบริโภคของคนเราจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ เกิดภาวะโคเลสเตอรอลสูง<br />
สำหรับแนวทางในการควบคุมระดับโคเลสเตอรอล สามารถทำได้หลายวิธีคือ<br />
<br />
1. ควบคุมอาหาร หลีกเลี่ยงอาหารที่มีโคเลสเตอรอลสูง เช่น ไข่แดง เนื้อสัตว์ติดมัน เครื่องใน อาหารทะเลบางชนิด อาหารประเภททอด น้ำมันที่มีกรดไขมันอิ่มตัวสูง น้ำมันมะพร้าว กะทิ หันมาบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพต่างๆ เช่น นมพร่องมันเนย และอาหารประเภทผักและผลไม้ต่างๆ หรือรับประทานอาหารที่มีส่วนผสมของไฟโตสเตอรอลพร้อมกับมื้ออาหาร<br />
<br />
2. ออกกำลังกายควบคู่ไปกับการควบคุมอาหาร วิธีนี้จะช่วยเพิ่มระดับ HDL โคเลสเตอรอล และลดระดับ LDL โคเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ ควรออกกำลังกายอาทิตย์ละ 3 ครั้ง และทำอย่างต่อเนื่องในแต่ละครั้งตามระดับความสามารถของร่างกายตัวเอง<br />
<br />
3.ใช้ยาช่วยลดระดับไขมันในเลือด วิธีนี้ต้องอยู่ในความควบคุมของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อความปลอดภัย<br />
<br />
เอกสารอ้างอิง : <br />
1. Dietary phytosterols as cholesterol-lowering agents in humans. Can J Physiol Pharmacol. 1997 Mar;75(3):217-27<br />
2. Effects of dietary phytosterols on cholesterol metabolism and atherosclerosis: clinical and experimental evidence. Am J Med. 1999 Dec;107(6):588-94<br />
3. Phytosterols in human nutrition. Annu Rev Nutr. 2002;22:533-49. Epub 2002 Apr 4<br />
4. Sec. 101.83 - Health claims: plant sterol/stanol esters and risk of coronary heart disease (CHD), Subpart E--Specific Requirements for Health Claims, TITLE 21--FOOD AND DRUGS: CHAPTER I--FOOD AND DRUG ADMINISTRATION DEPARTMENT OF HEALTH AND HUMAN SERVICES; SUBCHAPTER B--FOOD FOR HUMAN CONSUMPTION PART 101 FOOD LABELING, Code of Federal Regulations Title 21, Volume 2, U.S. Food and Drug Administration <a href="http://www.accessdata.fda.gov/scripts/cdrh/cfdocs/cfcfr/CFRSearch.cfm?fr=101.83">http://www.accessdata.fda.gov/scripts/cdrh/cfdocs/cfcfr/CFRSearch.cfm?fr=101.83</a><br />
5. Cholesterol, Triglycerides, and Associated Lipoproteins. Bookshelf ID: NBK351 PMID: 21250192 <a href="http://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK351/">http://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK351/</a><br />
6. About Cholesterol. American Heart Association. <a href="http://www.heart.org/HEARTORG/Conditions/Cholesterol/AboutCholesterol/About-Cholesterol_UCM_001220_Article.jsp">http://www.heart.org/HEARTORG/Conditions/Cholesterol/AboutCholesterol/About-Cholesterol_UCM_001220_Article.jsp</a><br />
7. Why Cholesterol Matter. American Heart Association. <a href="http://www.heart.org/HEARTORG/Conditions/Cholesterol/WhyCholesterolMatters/Why-Cholesterol-Matters_UCM_001212_Article.jsp">http://www.heart.org/HEARTORG/Conditions/Cholesterol/WhyCholesterolMatters/Why-Cholesterol-Matters_UCM_001212_Article.jsp</a><br />
8. ATP III Classification of LDL, Total, and HDL Cholesterol (mg/dL), ATP III Guidelines At-A-Glance<br />
Quick Desk Reference, National Cholesterol Education, <a href="http://www.nhlbi.nih.gov/guidelines/cholesterol/atglance.pdf">http://www.nhlbi.nih.gov/guidelines/cholesterol/atglance.pdf</a><br />
9. โภชนาการสาร 2532;23;202-12 กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข <a href="http://nutrition.anamai.moph.go.th/newpage8.htm">http://nutrition.anamai.moph.go.th/newpage8.htm</a><br />
<br />
<br />
<a href="http://www.giffarinethailand.com/event/product_detail.php?cateid=0&cat=&id=18552">กิฟฟารีน ไฟโตสเตอรอล </a>Mongkyhttp://www.blogger.com/profile/03088371074340768744noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5126024383371538952.post-40161866311734570042011-01-29T13:31:00.000+07:002011-01-29T13:31:42.415+07:00อาหารเพิ่มภูมิต้านทาน........ป้องกันโรค (Food To Boost Immunity)<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjRs6KgBHV4rEeqYZNID94AzeXP5qEVCVcwA4V1mKX29YwZVuBndnruV25MWUbp4lVJJShWqMu2P11aWfMN1Qj-dhSM3ep6TGnIltsU_1LgcdMQjYGXFgvNPT-fVKzq6knk-qf65V8dkV3E/s1600/Foods+that+Boost+your+Immunity+Naturally.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="156" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjRs6KgBHV4rEeqYZNID94AzeXP5qEVCVcwA4V1mKX29YwZVuBndnruV25MWUbp4lVJJShWqMu2P11aWfMN1Qj-dhSM3ep6TGnIltsU_1LgcdMQjYGXFgvNPT-fVKzq6knk-qf65V8dkV3E/s400/Foods+that+Boost+your+Immunity+Naturally.jpg" width="400" /></a></div><br />
สุขภาพที่ดีก็ขึ้นอยู่กับระบบภูมิคุ้มกันที่ดี ถ้าคุณมีภูมต้านทานที่ดีก็จะทำให้ร่างกายของคุณสามารถต่อสู้กับโรคร้ายต่างๆได้ การรับประทานหารหารที่ดีและมีประโยชน์เป็นอีกทางที่เราจะเพิ่มภูมคุ้มกันให้กับร่างกายของเรา ขอแนะนำสุดยอดอาหารที่ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันโรค<br />
<br />
<span style="color: #990000;">ผลไม้ตระกูลส้ม และผักผลไม้</span>ที่อุดมด้วยวิตามิน ซี นักวิจัยค้นพบว่าอาหารที่มีวิตามินซีสูงจะช่วยป้องกันเซลส์เม็ดเลือดนิวโทรฟิล(neutrophill)ชึ่งทำหน้าที่ดักจับเชื้อแบคทีเรีย อีกทั้งสารฟลาโวนอยส์ในฝักและผลไม้ก็ยังมีส่วนช่ายเพิ่มภูมิคุ้มกันได้ดีผลไม้ที่มีวิตามีนซีสูง ได้แก่ ผลไม้ตระกูล ส้ม ฝรั่ง มะละกอสุก สตรอบอร์รี่ กีวี แตงโม แคนตาลูป ผักที่มีวิตามีน ซีสูงได้แก่ มะเขือเทศ พริกหวาน บรอกโคลี่ ดอกกระหล่ำ คะน้า ตำลึง<br />
<br />
<span style="color: #cc0000;">แครอท ฟ้กทอง มะละกอสุก มะม่วงสุก แคนตาลูป กล้วยไข่</span> มีสารเบต้าแคโรทีนสูงทำหน้าที่ช่วยเพิ่มการทำงานของเซลส์ที่ดักจับเชื้อโรค(killer cell)<br />
<br />
<span style="color: #cc0000;">โปรตีนจากเนื้อสัตว์ทุกชนิด ไข่ ผลิตภัณฑ์นมไขมันต่ำ ถั่วเมล็ดแห้งและถั่วเปลือกแข็ง</span> การรับประทานโปรตีนจะทำให้ร่างกายของคุณแข็งแรง โปรตีนยังช่วยผลิตและรักษาเซลส์เม็ดเลือดขาวซึ่งเป็นตัวทำลายเชื้อโรค นอกจากนี้การรับประทานโปรตีนคุณยังได้รับประโยชน์ของสารอาหารบำบัดอื่นๆด้วย เช่น วิตามินบี 6 และบี12 ซึ่งช่วยทำให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงยิ่งขึ้นแหล่งอาหารที่มีวิตามินบี 6สูงได้แก่ ธัญพืชไม่ขัดสี ถั่วเมล็ดแห้ง เนื้อไก่ เนื้อหมู กล้วย มันฝรั่ง ผักโขม แหล่งอาหารที่มีวิตามินบี 12 สูงได้แก่ เนื้อสัตว์ล้วน ปลา ไข่ ผลิตภัณพ์นม<br />
<br />
<span style="color: #990000;">ปลาทะเล</span> เช่น ปลาแซลมอน ซาร์ดีน ทูน่า กรดไขมันโอเมก้า 3 ในปลาทะเลมีส่วนช่วยกระตุ้นเซลส์กลุ่มที่เรียกว่าฟาโกไซด์<strong style="font-weight: normal;">(phagocyte)ซึ่งช่วยกินเชื้อแบคทีเรีย และที่สำคัญปลาทะเลยังเป็นแหล่งของซิลิเนียม นักวิจัยพบว่าซีลีเนียม ทำหน้าที่เพิ่มประสิทธิภาพของเซลส์ที่ทำหน้าที่ภูมคุ้มกัน(immune cell) นอกจากนี้ซีลีเนียม ยังพบได้มากใน อาหารทะเล เนื้อสัตว์ไม่ติดมันและถั่วบราซิล </strong><br />
<strong style="font-weight: normal;"><br />
</strong><br />
<strong style="font-weight: normal;"><span style="color: red;">โยเกิร์ต</span> เป็นแหล่งโปรไบโอติก นักวิจัยพบว่าโปรไบโอติกมีส่วนช่วยในการเพิ่มปริมาณเซลส์เม็ดเลือดขาว และอาจช่วยลดระยะเวลาการเจ็บป่วยจากไข้หวัดได้ ในโยเกิร์ตมีแบคทีเรียที่ดีหลายชนิด เช่น แลคโดบาซิลลัส คาเซอิ และริวเทอรี่ ซึ่งแบคทีเรียเหล่านี้ได้รับการรับรองทางวิทยาศาสร์ส่ามีส่วนป้องกันไข้หวัดเพิ่มภูมิต้านทาน รวมทั้งช่วยปรับสมดุลของเชื้อแบคทีเรียในลำใส้อีกด้วย</strong><br />
<strong style="font-weight: normal;"><br />
</strong><br />
<strong style="font-weight: normal;"><span style="color: #cc0000;">เห็ด</span> โดยเฉพาะเห็ดหอม เห็ดชิตาเกะ เห็ดเข็มทอง เป็นแหล่งของเบต้า กลูแคน(</strong><span id="search" style="visibility: visible;">Beta Glucan) ซึ่งได้รับการระบุว่ามีความสามารถในการช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันโดยกระตุ้นการสร้างเซลส์เม็ดเลือดขาว ช่วยให้มีพลังในการต่อสู้กับเชื้อโรคได้มากยิ่งขึ้น</span><br />
<span id="search" style="visibility: visible;"><br />
</span><br />
<span id="search" style="color: #990000; visibility: visible;">ถั่วเปลือกแข็ง Wheat Germ(</span><span class="Normal" style="color: #1c4a00;"><span style="color: #50692e;"><span style="color: black;"><span style="color: #990000;">จมูกข้าวสาลี)</span> เป็นแหล่งที่ดีของวิตามินอี ช่วยเพิ่มการสร้างแอนติบอดี ช่วยเสริมสร้างการทำงานของเซลส์(T cell)ซึ่งทำหน้าที่หลักในการป้องกันการติกเชื้อร่วมกับบีเซลส์(B cell)นักวิจัยจากมหาลัยTufts ในบอสตัน พบว่าการเสริมวิตามินอีวันละ200 iu เป็นประมาณที่เหมาะสมในการเพิ่มภูมิต้านทาน </span></span></span><br />
<br />
<span class="Normal" style="color: #1c4a00;"><span style="color: #50692e;"><span style="color: black;"><span style="color: #cc0000;"> <a href="http://www.amazon.com/Good-Natural-Standardized-Extract-Polyphenols/dp/B001FW0TMQ?ie=UTF8&tag=httpwhygiffar-20&link_code=btl&camp=213689&creative=392969" style="color: #660000;" target="_blank">ชาเขียว</a><img alt="" border="0" height="1" src="http://www.assoc-amazon.com/e/ir?t=httpwhygiffar-20&l=btl&camp=213689&creative=392969&o=1&a=B001FW0TMQ" style="border: medium none ! important; margin: 0px ! important; padding: 0px ! important;" width="1" /> </span>นักวิจัยพบว่าสารคาเทชิน(catechins)ในชาเขียว ช่วยกระตุ้นการทำงานของทีเซลส์(T cell )เพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน ปริมาณที่แนะนำต่อวัน คือ น้ำชา 4-6 ถ้วยชา</span></span></span><br />
<br />
<span class="Normal" style="color: #1c4a00;"><span style="color: #50692e;"><span style="color: black;"> <a href="http://www.amazon.com/Nature-Made-Control-Garlic-Equivalent/dp/B0014HP1QQ?ie=UTF8&tag=httpwhygiffar-20&link_code=btl&camp=213689&creative=392969" target="_blank">กระเทียม</a><img alt="" border="0" height="1" src="http://www.assoc-amazon.com/e/ir?t=httpwhygiffar-20&l=btl&camp=213689&creative=392969&o=1&a=B0014HP1QQ" style="border: medium none ! important; margin: 0px ! important; padding: 0px ! important;" width="1" /> ฤทธิ์ของกระเทียมต่อสุขภาพมาจากน้ำมันหอมระเหยอัลลิชิน(Allicin) อัลลิชินมีฤทธิ์ต้านการติดเชื้อ ต้านเชือ้แบคทีเรียและไวรัส เมื่อกินร่วมกับวิตามินซีจะช่วยฆ่าเชื้อและป้องกันหวัด</span></span></span><br />
<span class="Normal" style="color: #1c4a00;"><span style="color: #50692e;"><span style="color: black;"><a href="http://www.amazon.com/Good-Natural-Standardized-Extract-Polyphenols/dp/B001FW0TMQ?ie=UTF8&tag=httpwhygiffar-20&link_code=btl&camp=213689&creative=392969" target="_blank"><br />
</a></span></span></span><br />
<span class="Normal" style="color: #1c4a00;"><span style="color: #50692e;"><span style="color: black;"><a href="http://www.amazon.com/Good-Natural-Standardized-Extract-Polyphenols/dp/B001FW0TMQ?ie=UTF8&tag=httpwhygiffar-20&link_code=btl&camp=213689&creative=392969" target="_blank"><br />
</a></span></span></span><br />
<span class="Normal" style="color: #1c4a00;"><span style="color: #50692e;"><span style="color: black;"> </span></span></span><br />
<span id="search" style="visibility: visible;"><br />
</span><br />
<strong style="font-weight: normal;"><br />
</strong><br />
<strong style="font-weight: normal;"><br />
</strong><br />
<strong style="font-weight: normal;"><br />
</strong>Mongkyhttp://www.blogger.com/profile/03088371074340768744noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5126024383371538952.post-10629975818656425222011-01-29T11:39:00.001+07:002011-01-29T11:40:29.893+07:00วิตามินชนิดที่ละลายในไขมัน(Fat-Soluble Vitamins)<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiw8esVronJ7Lvn211rymqcztLlzj0IietS8H4a0aMnvwELLkkJ45vSB-I0gSbdfZEeJFU6A0KBlnIMs84gVwhfTTiUop1T0PsErJZp9jQkA0ELdDDbq8uVIFg3hUZb9I3wHGdTziz5ryDc/s1600/366647-14613-23.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="227" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiw8esVronJ7Lvn211rymqcztLlzj0IietS8H4a0aMnvwELLkkJ45vSB-I0gSbdfZEeJFU6A0KBlnIMs84gVwhfTTiUop1T0PsErJZp9jQkA0ELdDDbq8uVIFg3hUZb9I3wHGdTziz5ryDc/s320/366647-14613-23.jpg" width="320" /></a></div><br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
วิตามินชนิดที่ละลายในไขมัน<br />
<br />
<span class="style3" style="color: red;">วิตามินเอ</span> เป็นวิตามินที่ทำหน้าที่ปกป้องเยื่อบุต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น เยื่อบุลำไส้ เยื่อบุทางเดินหายใจ เป็นต้น เมื่อขาดวิตามินเอ เยื่อบุต่างๆ จะเหี่ยวฝ่อ ทำให้เชื้อโรคเข้าสู่อวัยวะต่าง ๆ ได้ง่าย ซึ่งวิตามินเอจะช่วยให้ระบบภูมิต้านทานแข็งแรง และยังช่วยให้สามารถมองเห็นในที่มืดได้ดี ถ้าขาดวิตามินเอจะทำให้การปรับตัวของตาในที่มืดไม่ดี คนสมัยก่อนเรียกอาการดังกล่าวว่า “ตามัวตาฟาง” และวิตามินเอยังมีบทบาทช่วยในการเจริญเติบโตของอวัยวะต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นกล้ามเนื้อ กระดูก สมอง และอื่นๆ นอกจากนี้ยังพบว่าวิตามินเอเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย ซึ่งการขาดวิตามินเอทำให้ภูมิต้านทานอ่อนแอ มองเห็นไม่ดีในเวลากลางคืน ติดเชื้อง่าย และในเด็กเล็กหากขาดวิตามินเออย่างรุนแรงจะทำให้เสียชีวิตได้ ในทางตรงกันข้าม หากได้รับในปริมาณมากเกินไปจะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ เวียนศีรษะ ผิวแห้ง ผมร่วง ถ้าเป็นในเด็กจะทำให้ปวดกระดูก สำหรับหญิงมีครรภ์ถ้าได้รับวิตามินเอมากเกินไปจะทำให้แท้งได้ <br />
<div class="more_th"> เมื่อรู้จักวิตามินเอก็ต้องรู้จัก<span class="style3">เบตา-แคโรทีน</span>ควบ คู่ไปด้วย เพราะเบตา-แคโรทีนคือสารตั้งต้นของวิตามินเอ เมื่อกินอาหารที่มีเบตา-แคโรทีน ร่างกายของเราจะเปลี่ยนเบตา-แคโรทีนให้เป็นวิตามินเอได้ ในแต่ละวันร่างกายต้องการวิตามินเอ 800 ไมโครกรัม อาร์อี หรือ 2,664 หน่วยสากล หากเป็นเบตา-แคโรทีนจะเท่ากับ 4,800 ไมโครกรัม (จากเอกสาร “สารอาหารที่แนะนำให้บริโภคประจำวันสำหรับคนไทยอายุ 6 ปีขึ้นไป” จัดทำโดยคณะอนุกรรมการพิจารณาการแสดงคุณค่าทางโภชนาการบนฉลากของอาหาร สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข)</div><div class="more_th"> อาหารที่ให้วิตามินเอสูง ได้แก่ ตับสัตว์ทุกชนิด เครื่องในสัตว์ ไข่ นม เป็นต้น ส่วนเบตา-แคโรทีนพบมากในพืชผักผลไม้สีเหลืองและสีส้มแดง เช่น มะละกอ แครอต ผักหวาน ผักชีฝรั่ง ตำลึง ฟักทอง ผักกระเฉด ใบชะพลู มะเขือเทศ ผักบุ้ง คะน้า เป็นต้น</div><div class="more_th"> การกินอาหารที่กล่าวมาข้างต้นจะช่วยให้ได้รับ วิตามินเอหรือเบตา-แคโรทีน โดยควรกินควบคู่กับอาหารที่มีไขมันด้วย จะช่วยให้ร่างกายสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ดี ซึ่งการกินอาหารธรรมชาติดังกล่าวนี้จะไม่ทำให้ได้รับวิตามินเอมากเกินความ ต้องการของร่างกาย แต่หากกินในรูปของเม็ดยาหรือในรูปของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอาจทำให้ได้รับใน ปริมาณมากเกินไป และวิตามินชนิดนี้ถ้าร่างกายใช้ไม่หมดก็จะสะสมไว้ในร่างกาย ไม่สามารถขับทิ้งได้ง่ายเหมือนวิตามินที่ละลายในน้ำ นอกจากนี้ในต่างประเทศมีรายงานว่าพบผู้ที่กินเบตา-แคโรทีนในรูปของผลิตภัณฑ์ เสริมอาหารเป็นมะเร็งที่ปอดด้วย</div><div class="more_th"><br />
</div><div class="more_th"> <span class="style3" style="color: red;">วิตามินดี</span> เป็นวิตามินที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการสร้างกระดูก การดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัสไปใช้ในร่างกาย จึงช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง ในแต่ละวันร่างกายต้องการวิตามินดีเพียง 5 ไมโครกรัม หรือ 200 หน่วยสากล ซึ่งนับว่าต้องการในปริมาณที่น้อยมาก และร่างกายของคนเรายังสามารถสังเคราะห์วิตามินดีได้เองจากแสงแดดอ่อน ๆ คนไทยเราโชคดีที่บ้านเรามีแสงแดดมาก จึงไม่ต้องกังวลว่าจะขาดวิตามินดี ยกเว้นในคนที่ไม่ได้รับหรือไม่ถูกแสงแดดเลย ซึ่งก็เป็นไปได้ยาก เพราะนอกจากร่างกายจะสังเคราะห์วิตามินดีได้จากแสงแดดแล้ว ในอาหารที่เรากินกัน เช่น ไข่แดง นม ปลาที่มีไขมัน ตลอดจนธัญพืช ก็มีวิตามินดีอยู่มาก คนไทยจึงไม่ควรกังวลว่าจะขาดวิตามินดีเหมือนชาติตะวันตกที่ประเทศเขาไม่ค่อย มีแสงแดด นอกจากนี้การได้รับวิตามินดีสูงเกินไปอาจทำให้มีแคลเซียมตกตะกอนเป็นหินปูน เกาะอยู่ที่ไต (นิ่วในไต) ได้</div><div class="more_th"><br />
</div><div class="more_th"> <span style="color: red;"> </span><span class="style3" style="color: red;">วิตามินอี</span> เป็นวิตามินอีกชนิดหนึ่งที่มีคนให้ความสนใจค่อนข้างมาก มีหน้าที่สำคัญคือช่วยให้เยื่อบุและเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกายทำงานได้ดีขึ้น เพราะวิตามินอีจะทำให้ผนังเซลล์ทนต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมได้ดี ในแต่ละวันร่างกายต้องการวิตามินอีเพียง 10 มิลลิกรัม อัลฟา ที อี หรือ 15 หน่วยสากล ซึ่งเป็นปริมาณที่น้อยมาก แต่ก็ขาดไม่ได้ เพราะถ้าขาดจะทำให้เกิดอาการผิดปกติของอวัยวะสืบพันธุ์ ระบบประสาท และการทำงานของระบบหัวใจและหลอดเลือด ในทางกลับกัน หากได้รับมากเกินไป 30- 200 เท่าของปริมาณที่แนะนำ และกินติดต่อกันเป็นเวลานานๆ จะทำให้มีอาการเริ่มตั้งแต่ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ ซึม จนกระทั่งริมฝีปากอักเสบ และกล้ามเนื้อไม่มีแรง นอกจากนี้ยังมีรายงานการวิจัยพบว่าการกินวิตามินอีในปริมาณสูงกว่าที่แนะนำ ทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นอัมพาตได้ ซึ่งการได้รับวิตามินอีในปริมาณสูงๆ นั้นจะเกิดขึ้นได้จากการกินในรูปของเม็ดยา เพราะหากได้รับจากอาหารจะไม่ทำให้ร่างกายได้รับวิตามินอีมากเกินไปจนเกิด ความเสี่ยงต่อสุขภาพ</div><div class="more_th"> อาหารที่มีวิตามินอีสูงคือน้ำมันพืชต่าง ๆ เช่น น้ำมันจากจมูกข้าวสาลี น้ำมันเมล็ดดอกทานตะวัน น้ำมันจากเมล็ดฝ้าย น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันรำข้าว น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด เป็นต้น ดังนั้นหากใช้น้ำมันพืชดังกล่าวปรุงอาหารเป็นประจำก็ไม่ต้องกังวลว่าจะขาด วิตามินอี นอกจากนี้ในท้องตลาดปัจจุบันยังพบว่ามีการเสริมวิตามินอีในน้ำมันปาล์มด้วย</div><div class="more_th"> วิตามินอีได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ในปัจจุบันนอกจากจะพบว่ามีการเสริมวิตามินอีในอาหารหรือผลิตออกจำหน่ายในรูป เม็ดยาแล้ว ยังมีการเสริมวิตามินอีลงในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวต่าง ๆ อีกด้วย ซึ่งจริง ๆ แล้วแทบไม่พบปัญหาการขาดวิตามินอีในคนไทย ยกเว้นในคนที่มีลำไส้ผิดปกติในการดูดซึมซึ่งไม่สามารถดูดซึมไขมันได้ จะทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมวิตามินอีไปใช้ได้ เพราะวิตามินอีเป็นวิตามินชนิดละลายในไขมัน นอกจากนี้อาจพบได้ในทารกที่คลอดก่อนกำหนด เนื่องจากร่างกายทารกยังมีการสะสมวิตามินอีได้น้อย ดังนั้นคนปกติทั่วไปจึงไม่ควรกังวลว่าจะขาดวิตามินอี และถ้าคิดจะซื้อวิตามินอีในรูปของเม็ดยามากินควรปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง</div><div class="more_th"><br />
</div><div class="more_th"> <span style="color: red;">วิตามินเค</span> เป็นวิตามินที่มีคนรู้จักและกล่าวถึงน้อยกว่าวิตามินชนิดอื่นที่กล่าวมา มีหน้าที่สำคัญคือช่วยทำให้เลือดแข็งตัว และช่วยสร้างโปรตีนชนิดที่มีหน้าที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก ในแต่ละวันร่างกายต้องการวิตามินเคเพียง 80 ไมโครกรัม ซึ่งนอกจากอาหารประเภทใบเขียวเข้ม เช่น คะน้า ผักโขม ที่มีวิตามินเคแล้ว ยังพบได้ในตับสัตว์และเนย รวมทั้งแบคทีเรียที่อยู่ในลำไส้ของคนเรายังสามารถสังเคราะห์วิตามินเคได้อีก ด้วย ดังนั้นจึงไม่ควรกังวลว่าจะขาดวิตามินเค ยกเว้นในกลุ่มคนบางกลุ่ม เช่น ทารกที่คลอดก่อนกำหนด ร่างกายยังสะสมวิตามินเคได้น้อย เมื่อคลอดออกมาแพทย์ก็จะฉีดวิตามินเคให้ คุณพ่อคุณแม่ที่มีทารกคลอดก่อนกำหนดจึงไม่ต้องวิตกว่าลูกของตนจะขาดวิตามิ นเค และผู้ที่จะมีปัญหาอีกกลุ่มคือผู้ป่วยที่มีความผิดปกติในการดูดซึมไขมัน จึงทำให้ไม่สามารถดูดซึมวิตามินเคได้ เนื่องจากวิตามินเคเป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน จึงต้องมีไขมันเป็นตัวนำเพื่อให้ร่างกายสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ เมื่อร่างกายมีปัญหาการดูดซึมไขมันจึงดูดซึมวิตามินเคไม่ได้ ส่งผลให้ขาดวิตามินเค นอกจากนี้ยังมีกลุ่มคน ที่ควรจะได้รับวิตามินเคมากกว่าคนปกติทั่วไป เพราะเสี่ยงต่อการขาดวิตามินเค คือผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ผู้ที่เป็นโรคตับ ได้แก่ ดีซ่าน ตับแข็ง ซึ่งควรได้รับวิตามินเคมากกว่าคนทั่วไป</div><div class="more_th"> </div><h3>References</h3><h3> <span style="font-size: small;"> <span class="more_th" style="color: #741b47;"><b>วิตามิน...กินให้เป็น (ตอนที่ 2)</b></span></span><span class="more_th" style="color: #741b47;"><b><a href="http://www.tistr-foodprocess.net/food_health/food_health19.htm"><span style="font-size: small;"> http://www.tistr-foodprocess.net/food_health/food_health19.htm</span></a></b></span></h3> <a href="http://www.ext.colostate.edu/pubs/foodnut/09315.html"> <span style="font-size: small;">http://www.ext.colostate.edu/pubs/foodnut/09315.html</span></a><br />
<div class="more_th"><br />
</div>Mongkyhttp://www.blogger.com/profile/03088371074340768744noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5126024383371538952.post-47532072342255243342011-01-29T11:19:00.000+07:002011-01-29T11:19:32.340+07:00วิตามินที่ละลายในน้ำ(Water-Soluble Vitamins)<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiKfRK-XGMhVsQ_XchE3i8GAhroKmyOJpypIW_1ROsWizOAJCryiSP0YtxUzmO44jUWfvrjLSYyIqIkKfA0xExDiisNumufTzr5InZgDsKApXl18daSypX96cKKtLLIG0H8I1reUI8ICNvN/s1600/Water-Soluble+Vitamins.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="213" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiKfRK-XGMhVsQ_XchE3i8GAhroKmyOJpypIW_1ROsWizOAJCryiSP0YtxUzmO44jUWfvrjLSYyIqIkKfA0xExDiisNumufTzr5InZgDsKApXl18daSypX96cKKtLLIG0H8I1reUI8ICNvN/s320/Water-Soluble+Vitamins.jpg" width="320" /></a></div><br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<strong>วิตามินที่ละลายในน้ำ</strong><br />
<strong> </strong><br />
<!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:TrackMoves/> <w:TrackFormatting/> <w:PunctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:DoNotPromoteQF/> <w:LidThemeOther>EN-US</w:LidThemeOther> <w:LidThemeAsian>X-NONE</w:LidThemeAsian> <w:LidThemeComplexScript>TH</w:LidThemeComplexScript> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> <w:SplitPgBreakAndParaMark/> <w:DontVertAlignCellWithSp/> <w:DontBreakConstrainedForcedTables/> <w:DontVertAlignInTxbx/> <w:Word11KerningPairs/> <w:CachedColBalance/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> <m:mathPr> <m:mathFont m:val="Cambria Math"/> <m:brkBin m:val="before"/> <m:brkBinSub m:val="--"/> <m:smallFrac m:val="off"/> <m:dispDef/> <m:lMargin m:val="0"/> <m:rMargin m:val="0"/> <m:defJc m:val="centerGroup"/> <m:wrapIndent m:val="1440"/> <m:intLim m:val="subSup"/> <m:naryLim m:val="undOvr"/> </m:mathPr></w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" DefUnhideWhenUsed="true"
DefSemiHidden="true" DefQFormat="false" DefPriority="99"
LatentStyleCount="267"> <w:LsdException Locked="false" Priority="0" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Normal"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="9" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="heading 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="9" QFormat="true" Name="heading 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="9" QFormat="true" Name="heading 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="9" QFormat="true" Name="heading 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="9" QFormat="true" Name="heading 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="9" QFormat="true" Name="heading 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="9" QFormat="true" Name="heading 7"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="9" QFormat="true" Name="heading 8"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="9" QFormat="true" Name="heading 9"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="39" Name="toc 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="39" Name="toc 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="39" Name="toc 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="39" Name="toc 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="39" Name="toc 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="39" Name="toc 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="39" Name="toc 7"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="39" Name="toc 8"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="39" Name="toc 9"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="35" QFormat="true" Name="caption"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="10" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Title"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="1" Name="Default Paragraph Font"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="11" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Subtitle"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="22" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Strong"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="20" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Emphasis"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="59" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Table Grid"/> <w:LsdException Locked="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Placeholder Text"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="1" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="No Spacing"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="60" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Light Shading"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="61" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Light List"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="62" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Light Grid"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="63" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="64" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="65" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="66" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="67" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="68" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="69" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="70" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Dark List"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="71" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Shading"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="72" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful List"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="73" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Grid"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="60" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Light Shading Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="61" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Light List Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="62" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Light Grid Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="63" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 1 Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="64" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 2 Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="65" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 1 Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Revision"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="34" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="List Paragraph"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="29" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Quote"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="30" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Intense Quote"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="66" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 2 Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="67" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 1 Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="68" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 2 Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="69" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 3 Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="70" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Dark List Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="71" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Shading Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="72" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful List Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="73" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Grid Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="60" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Light Shading Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="61" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Light List Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="62" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Light Grid Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="63" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 1 Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="64" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 2 Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="65" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 1 Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="66" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 2 Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="67" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 1 Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="68" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 2 Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="69" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 3 Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="70" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Dark List Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="71" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Shading Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="72" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful List Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="73" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Grid Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="60" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Light Shading Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="61" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Light List Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="62" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Light Grid Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="63" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 1 Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="64" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 2 Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="65" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 1 Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="66" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 2 Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="67" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 1 Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="68" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 2 Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="69" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 3 Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="70" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Dark List Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="71" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Shading Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="72" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful List Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="73" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Grid Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="60" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Light Shading Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="61" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Light List Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="62" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Light Grid Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="63" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 1 Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="64" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 2 Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="65" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 1 Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="66" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 2 Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="67" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 1 Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="68" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 2 Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="69" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 3 Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="70" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Dark List Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="71" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Shading Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="72" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful List Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="73" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Grid Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="60" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Light Shading Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="61" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Light List Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="62" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Light Grid Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="63" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 1 Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="64" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 2 Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="65" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 1 Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="66" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 2 Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="67" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 1 Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="68" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 2 Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="69" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 3 Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="70" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Dark List Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="71" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Shading Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="72" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful List Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="73" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Grid Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="60" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Light Shading Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="61" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Light List Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="62" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Light Grid Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="63" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 1 Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="64" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 2 Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="65" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 1 Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="66" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 2 Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="67" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 1 Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="68" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 2 Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="69" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 3 Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="70" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Dark List Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="71" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Shading Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="72" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful List Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="73" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Grid Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="19" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Subtle Emphasis"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="21" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Intense Emphasis"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="31" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Subtle Reference"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="32" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Intense Reference"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="33" SemiHidden="false"
UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Book Title"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="37" Name="Bibliography"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="39" QFormat="true" Name="TOC Heading"/> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style>
/* Style Definitions */
table.MsoNormalTable
{mso-style-name:"Table Normal";
mso-tstyle-rowband-size:0;
mso-tstyle-colband-size:0;
mso-style-noshow:yes;
mso-style-priority:99;
mso-style-qformat:yes;
mso-style-parent:"";
mso-padding-alt:0in 5.4pt 0in 5.4pt;
mso-para-margin-top:0in;
mso-para-margin-right:0in;
mso-para-margin-bottom:10.0pt;
mso-para-margin-left:0in;
line-height:115%;
mso-pagination:widow-orphan;
font-size:11.0pt;
mso-bidi-font-size:14.0pt;
font-family:"Calibri","sans-serif";
mso-ascii-font-family:Calibri;
mso-ascii-theme-font:minor-latin;
mso-hansi-font-family:Calibri;
mso-hansi-theme-font:minor-latin;
mso-bidi-font-family:"Cordia New";
mso-bidi-theme-font:minor-bidi;}
</style> <![endif]--> <br />
<div class="style2"><strong><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif";"></span></strong></div><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif";">วิตามินเป็นสารอาหารที่จำ</span><span lang="TH"> </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif";">เป็นต่อร่างกายของคนเรา</span><span lang="TH"> </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif";">เพราะ แม้ว่า ร่างกายต้องการวิตามินไม่มากนัก</span><span lang="TH"> </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif";">แต่ก็ขาดไม่ได้ เนื่องจาก จะทำให้มีปัญหาสุขภาพตามมา</span><span lang="TH"> </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif";">เช่น ถ้าขาดวิตามินซี</span><span lang="TH"> </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif";">จะทำให้เป็นโรคเลือดออกตามไรฟัน ถ้าขาดวิตามินบี </span>1 <span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif";">จะทำให้เป็นโรคเหน็บชา</span><span lang="TH"> </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif";">ถ้าขาดวิตามินเอ</span><span lang="TH"> </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif";">จะทำให้ไม่สามารถมองเห็นในที่มืด เป็นต้น</span><span lang="TH"> </span><br />
<span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif";">นักวิชาการแบ่งวิตามินออกเป็น </span>2 <span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif";">ชนิดตามคุณสมบัติของวิตามิน</span><span lang="TH"> </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif";">ชนิดแรกคือ<strong><span style="font-family: "Angsana New","serif";">วิตามินที่ละลายในน้ำ</span> </strong>ร่างกายจะนำวิตามินไปใช้ประโยชน์ได้ต้องมีน้ำเป็นตัวพาไป</span><span lang="TH"> </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif";">ได้แก่</span><span lang="TH"> </span><strong><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif";">วิตามินบีรวม และวิตามินซี</span></strong><br />
<span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif";">วิตามินอีกชนิดหนึ่งคือ</span><span lang="TH"> </span><strong><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif";">วิตามินที่ละลายในน้ำมัน</span></strong> <span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif";">วิตามินชนิดนี้ ร่างกายจะนำไปใช้ประโยชน์ได้ต้องมีน้ำมันเป็นตัวนำ</span><span lang="TH"> </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif";">วิตามินในกลุ่มนี้ ได้แก่</span><span lang="TH"> </span><strong><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif";">วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี และวิตามินเค</span></strong><span lang="TH"> </span><em>(</em><em><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif";">อ้างอิงที่</span> 1)</em> <br />
<span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif";">วิตามินบีรวมประกอบด้วยวิตามินบีหลายตัว</span><span lang="TH"> </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif";">ที่รู้จักแพร่หลายคือ วิตามินบี</span> 1 <span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif";">วิตามินบี </span>2 <span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif";">วิตามินบี</span> 6 <span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif";">วิตามินบี</span> 12 <span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif";">โฟเลต</span><span lang="TH"> </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif";">และไนอะซิน</span><span lang="TH"> </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif";">วิตามินกลุ่มนี้ แม้ว่าจะบริโภคเกินความต้องการในแต่ละวัน</span><span lang="TH"> </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif";">ก็จะไม่มีอันตราย เนื่องจาก ร่างกายจะไม่สะสมให้เกิดผล เสียต่อสุขภาพ</span><span lang="TH"> </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif";">เนื่องจากวิตามินกลุ่มนี้มีคุณสมบัติละลายในน้ำ</span><span lang="TH"> </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif";">เมื่อได้รับมากเกินไปร่างกายก็จะขับออกเองได้ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา</span><span lang="TH"> </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif";">กระทรวงสาธารณสุข ได้จัดทำบัญชี</span><span lang="TH"> </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif";">แสดงปริมาณของวิตามินที่ละลายในน้ำที่แนะนำให้ควรบริโภคประจำวันสำหรับคนไทย</span><span lang="TH"> </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif";">อายุตั้งแต่ </span>6 <span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif";">ปีขึ้นไป (</span>Thai Recommended Daily Intakes <span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif";">หรือ</span>Thai RDI) <span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif";">รวมถึงข้อความกล่าวอ้างเกี่ยวกับหน้าที่ของของวิตามินที่ละลายในน้ำแต่ละตัว</span><span lang="TH"> </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif";">ตามรายละเอียดในตารางที่ </span>1 <br />
<strong><u><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif";">ตารางที่</span><span lang="TH"> </span></u></strong><u>1</u><strong>:</strong> <span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif";">แสดงปริมาณของวิตามินที่ละลายในน้ำที่แนะนำให้บริโภคต่อ</span> 1 <span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif";">วันสำหรับคนไทย</span><span lang="TH"> </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif";">อายุตั้งแต่ </span>6 <span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif";">ปีขึ้นไป และข้อความกล่าวอ้างเกี่ยวกับหน้าที่ของสารอาหาร</span><span lang="TH"> </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif";">ของวิตามินที่ละลายในน้ำ</span><br />
<table border="1" cellpadding="0" cellspacing="0" class="MsoNormalTable"><tbody>
<tr> <td style="padding: 0in; width: 104.25pt;" valign="top" width="139"> <div align="center" class="MsoNormal" style="line-height: normal; text-align: center;"><b><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">วิตามิน</span></b><b><span lang="TH" style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"> </span></b><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"><br />
</span><b><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">ที่ละลายในน้ำ</span></b><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"></span></div></td> <td style="padding: 0in; width: 99pt;" valign="top" width="132"> <div align="center" class="MsoNormal" style="line-height: normal; text-align: center;"><b><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">ปริมาณที่แนะนำ</span></b><b><span lang="TH" style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"> </span></b><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"><br />
</span><b><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">ให้บริโภคต่อ</span></b><b><span lang="TH" style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"> </span></b><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">1<b> </b></span><b><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">วัน</span></b><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"></span></div></td> <td style="padding: 0in; width: 318.75pt;" valign="top" width="425"> <div align="center" class="MsoNormal" style="line-height: normal; text-align: center;"><b><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">ข้อความกล่าวอ้างเกี่ยวกับ</span></b><b><span lang="TH" style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"> </span></b><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"><br />
</span><b><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">หน้าที่ของสารอาหาร</span></b><b><span lang="TH" style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"> </span></b><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"></span></div></td> </tr>
<tr> <td style="padding: 0in; width: 104.25pt;" valign="top" width="139"> <div align="center" class="MsoNormal" style="line-height: normal; text-align: center;"><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">วิตามินบี </span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">1 <br />
(Thiamin) </span></div></td> <td style="padding: 0in; width: 99pt;" valign="top" width="132"> <div align="center" class="MsoNormal" style="line-height: normal; text-align: center;"><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">1.5 </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">มิลลิกรัม (</span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">mg) </span></div></td> <td style="padding: 0in; width: 318.75pt;" valign="top" width="425"> <div class="MsoNormal" style="line-height: normal;"><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">- </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">ช่วยให้ร่างกายได้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรต</span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"> <br />
- </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">มีส่วนช่วยในการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ</span><span lang="TH" style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"> </span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"></span></div></td> </tr>
<tr> <td style="padding: 0in; width: 104.25pt;" valign="top" width="139"> <div align="center" class="MsoNormal" style="line-height: normal; text-align: center;"><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">วิตามินบี </span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">2 <br />
(Riboflavin) </span></div></td> <td style="padding: 0in; width: 99pt;" valign="top" width="132"> <div align="center" class="MsoNormal" style="line-height: normal; text-align: center;"><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">1.7 </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">มิลลิกรัม</span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"> (mg) </span></div></td> <td style="padding: 0in; width: 318.75pt;" valign="top" width="425"> <div class="MsoNormal" style="line-height: normal;"><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">- </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">ช่วยให้ร่างกายได้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน</span><span lang="TH" style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"> </span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"></span></div></td> </tr>
<tr> <td style="padding: 0in; width: 104.25pt;" valign="top" width="139"> <div align="center" class="MsoNormal" style="line-height: normal; text-align: center;"><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">ไนอะซิน (</span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">Niacin) <br />
</span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">หรือวิตามินบี </span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">3 </span></div></td> <td style="padding: 0in; width: 99pt;" valign="top" width="132"> <div align="center" class="MsoNormal" style="line-height: normal; text-align: center;"><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">20 </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">มิลลิกรัม เอ็น อี</span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"> <br />
(mg NE) </span></div></td> <td style="padding: 0in; width: 318.75pt;" valign="top" width="425"> <div class="MsoNormal" style="line-height: normal;"><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">- </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">ช่วยให้เยื่อบุทางเดินอาหารและผิวหนังอยู่ในสภาพปกติ</span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"><br />
- </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">ช่วยให้ร่างกายได้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน</span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"></span></div></td> </tr>
<tr> <td style="padding: 0in; width: 104.25pt;" valign="top" width="139"> <div align="center" class="MsoNormal" style="line-height: normal; text-align: center;"><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">กรดแพนโทธินิค (</span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">Pantothenic Acid) <br />
</span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">หรือวิตามินบี </span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">5 </span></div></td> <td style="padding: 0in; width: 99pt;" valign="top" width="132"> <div align="center" class="MsoNormal" style="line-height: normal; text-align: center;"><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">6 </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">มิลลิกรัม</span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"> (mg) </span></div></td> <td style="padding: 0in; width: 318.75pt;" valign="top" width="425"> <div class="MsoNormal" style="line-height: normal;"><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">- </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">ช่วยในการใช้ประโยชน์ (เมตาบอลิซึม) ของไขมัน และคาร์โบไฮเดรต</span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"><br />
- </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">ช่วยในการใช้ประโยชน์ของไขมันและคาร์โบไฮเดรต</span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"> <br />
- </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">ช่วยในการเมตาบอลิซึมของไขมันและคาร์โบไฮเดรต</span><span lang="TH" style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"> </span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"></span></div></td> </tr>
<tr> <td style="padding: 0in; width: 104.25pt;" valign="top" width="139"> <div align="center" class="MsoNormal" style="line-height: normal; text-align: center;"><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">วิตามินบี </span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">6 <br />
(Vitamin B6) </span></div></td> <td style="padding: 0in; width: 99pt;" valign="top" width="132"> <div align="center" class="MsoNormal" style="line-height: normal; text-align: center;"><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">2 </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">มิลลิกรัม</span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"> (mg) </span></div></td> <td style="padding: 0in; width: 318.75pt;" valign="top" width="425"> <div class="MsoNormal" style="line-height: normal;"><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">- </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">มีส่วนช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดงให้สมบูรณ์</span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"><br />
- </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">มีส่วนช่วยสร้างสารที่จำเป็นในการทำงานของระบบประสาท</span><span lang="TH" style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"> </span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"></span></div></td> </tr>
<tr> <td style="padding: 0in; width: 104.25pt;" valign="top" width="139"> <div align="center" class="MsoNormal" style="line-height: normal; text-align: center;"><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">โฟเลต (</span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">Folate) <br />
</span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">หรือวิตามินบี </span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">9 </span></div></td> <td style="padding: 0in; width: 99pt;" valign="top" width="132"> <div align="center" class="MsoNormal" style="line-height: normal; text-align: center;"><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">200 </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">ไมโครกรัม</span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"> (μg) </span></div></td> <td style="padding: 0in; width: 318.75pt;" valign="top" width="425"> <div class="MsoNormal" style="line-height: normal;"><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">- </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">มีส่วนสำคัญในการสร้างเม็ดเลือดแดง</span><span lang="TH" style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"> </span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"></span></div></td> </tr>
<tr> <td style="padding: 0in; width: 104.25pt;" valign="top" width="139"> <div align="center" class="MsoNormal" style="line-height: normal; text-align: center;"><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">วิตามินบี </span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">12 <br />
(Vitamin B12) </span></div></td> <td style="padding: 0in; width: 99pt;" valign="top" width="132"> <div align="center" class="MsoNormal" style="line-height: normal; text-align: center;"><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">2 </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">ไมโครกรัม</span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"> (μg) </span></div></td> <td style="padding: 0in; width: 318.75pt;" valign="top" width="425"> <div class="MsoNormal" style="line-height: normal;"><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">- </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">มีส่วนช่วยสร้างสารที่จำเป็นในการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง</span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"> <br />
- </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">มีส่วนช่วยในการทำงานของระบบประสาทและสมอง</span><span lang="TH" style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"> </span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"></span></div></td> </tr>
<tr> <td style="padding: 0in; width: 104.25pt;" valign="top" width="139"> <div align="center" class="MsoNormal" style="line-height: normal; text-align: center;"><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">วิตามินซี</span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"> <br />
(Vitamin C) </span></div></td> <td style="padding: 0in; width: 99pt;" valign="top" width="132"> <div align="center" class="MsoNormal" style="line-height: normal; text-align: center;"><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">60 </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">มิลลิกรัม</span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"> (mg) </span></div></td> <td style="padding: 0in; width: 318.75pt;" valign="top" width="425"> <div class="MsoNormal" style="line-height: normal;"><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">- </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">ช่วยให้หลอดเลือดแข็งแรง</span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"> <br />
- </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">มีส่วนช่วยในกระบวนการต่อต้านอนุมูลอิสระ</span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"> <br />
- </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">มีส่วนช่วยในการสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจน และเนื้อเยื่อของเอ็นกระดูกอ่อน</span><span lang="TH" style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"> </span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"></span></div></td> </tr>
</tbody></table><div class="MsoNormal" style="line-height: normal;"><i><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">(</span></i><i><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">อ้างอิงที่</span></i><i><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"> 2-3)</span></i><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"><br />
</span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">นอกจากนี้โคลีน (</span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">Choline) </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">ซึ่งเป็นสารอาหารอีกตัวที่ละลายในน้ำ</span><span lang="TH" style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"> </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">และมักจะถูกจัดเข้าไปอยู่ในกลุ่มเดียวกับวิตามินบีรวม</span><span lang="TH" style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"> </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">โคลีนเป็นสารตั้งต้นหลักในการสังเคราะห์สารสื่อประสาทที่มีชื่อว่า</span><span lang="TH" style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"> </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">อะเซททิลโคลีน (</span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">Acetylcholine) </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">ทำหน้าที่เป็นสารสื่อประสาทสำคัญที่เกี่ยวข้องกับความจำ</span><span lang="TH" style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"> </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">การควบคุมกล้ามเนื้อ และหน้าที่อื่นๆอีกหลายอย่าง</span><span lang="TH" style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"> </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">ปริมาณที่เพียงพอต่อร่างกายใน </span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">1 </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">วัน (</span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">Adequate Intake) </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">สำหรับผู้ใหญ่</span><span lang="TH" style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"> </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">เพศชาย และ หญิง คือ </span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">550 mg </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">และ </span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">425 mg </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">ตามลำดับ</span><span lang="TH" style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"> </span><i><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">(</span></i><i><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">อ้างอิงที่</span></i><i><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"> 4)</span></i><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"><br />
</span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">วิตามินเหล่านี้</span><span lang="TH" style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"> </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">มีอยู่ในอาหารต่างๆอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม</span><span lang="TH" style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"> </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">เนื่องจากภาวะรีบเร่งในชีวิตประจำวันส่งผลทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยน</span><span lang="TH" style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"> </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">ไป</span><span lang="TH" style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"> </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">ดังนั้นโอกาสที่จะได้รับประทานอาหารที่หลากหลายครบ </span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">5 </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">หมู่จึงเป็นไปได้ยาก เช่น</span><span lang="TH" style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"> </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">ผู้ที่ทำงานในสำนักงาน</span><span lang="TH" style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"> </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">ช่วงเช้ารีบเร่งจนไม่ได้รับประทานอาหารเช้า</span><span lang="TH" style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"> </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">กลางวันก็มักจะรับประทานอาหารจานเดียว เป็นต้น ดังนั้น</span><span lang="TH" style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"> </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">ทางเลือกหนึ่งที่ช่วยป้องกันให้ไม่ขาดสารอาหารเหล่านี้คือ</span><span lang="TH" style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"> </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">รับประทานเครื่องดื่มที่มีการเติมสารอาหารเหล่านี้ลงไป</span><span lang="TH" style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"> </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">หรืออาจรับประทานในรูปของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร อย่างไรก็ตาม</span><span lang="TH" style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"> </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">ไม่แนะนำให้รับประทานผลิตภัณฑ์ที่เป็นยา</span><span lang="TH" style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"> </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">เนื่องจากจะมีปริมาณของวิตามินสูงมาก</span><span lang="TH" style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"> </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">ซึ่งทั่วๆไปนั้น</span><span lang="TH" style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"> </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">มักจะใช้รักษาผู้ป่วยที่แสดงอาการ ของการขาดวิตามิน แล้วเท่านั้น</span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"></span></div><div class="MsoNormal" style="line-height: normal;"><b><u><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">เอกสารอ้างอิง</span></u></b><b><u><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"> : </span></u></b><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"></span></div><ol start="1" type="1"><ul type="circle"><li class="MsoNormal" style="line-height: normal;"><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">วิตามิน...กินให้เป็น (ตอนที่ </span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">1). </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">ฝ่ายเทคโนโลยีอาหาร สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย</span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"> (</span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">วว.).</span><span lang="TH" style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"> </span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"><a href="http://www.tistr-foodprocess.net/food_health/food_health18.htm"><span style="color: blue;">http://www.tistr-foodprocess.net/food_health/food_health18.htm</span></a> </span></li>
<li class="MsoNormal" style="line-height: normal;"><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">ประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ </span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">182 ) </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">พ.ศ.</span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">2541 </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">เรื่อง ฉลากโภชนาการ. สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา</span><span lang="TH" style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"> </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">กระทรวงสาธารณสุข</span><span lang="TH" style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"> </span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"></span></li>
<li class="MsoNormal" style="line-height: normal;"><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">ประกาศสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา</span><span lang="TH" style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"> </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">เรื่อง</span><span lang="TH" style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"> </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">การแสดงข้อความกล่าวอ้างเกี่ยวกับหน้าที่ของสารอาหาร.</span><span lang="TH" style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"> </span><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 12pt;">สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข</span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;"></span></li>
<li class="MsoNormal" style="line-height: normal;"><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12pt;">Dietary Reference Intakes for Thiamin, Riboflavin, Niacin, Vitamin B6, Folate, Vitamin B 12, Pantothenic acid, Biotin and Choline. 12 Choline. The National Academies Press. pages 390-422. <a href="http://www.nal.usda.gov/fnic/DRI/DRI_Thiamin/390-422_150.pdf"><span style="color: blue;">http://www.nal.usda.gov/fnic/DRI//DRI_Thiamin/390-422_150.pdf</span></a> </span></li>
</ul></ol><div class="MsoNormal"><br />
</div>Mongkyhttp://www.blogger.com/profile/03088371074340768744noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5126024383371538952.post-8007317750844593352010-11-22T15:14:00.000+07:002010-11-22T15:14:39.037+07:00อาหารเสริมกับข้อห้ามและข้อดวรระวังสำหรับโรคบางโรค<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjznmxDIzFuHcwOZ00lDoBvIOpatoVHH_2MojX5kCM2aC8t3du5GUbOPtCD4Mnl2IJvqgXzczTbexakh_3zMq2b3c4JYb0nc16LKbD7BSdfbDfShTRI4rKSrTosCF4l0sL17qdhMtadBg9w/s1600/supplement2s.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="290" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjznmxDIzFuHcwOZ00lDoBvIOpatoVHH_2MojX5kCM2aC8t3du5GUbOPtCD4Mnl2IJvqgXzczTbexakh_3zMq2b3c4JYb0nc16LKbD7BSdfbDfShTRI4rKSrTosCF4l0sL17qdhMtadBg9w/s320/supplement2s.jpg" width="320" /></a></div><br />
การรับประทานอาหารเสริม อาหารเพื่อสุขภาพ หรือ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เพื่อส่งเสริมสุขภาพมีประโยชน์สำหรับคนปกติ และมีประโยชน์สำหรับผู้ป่วยบางโรค และไม่ควรนำผลิตภัณฑ์เสริมอาหารไปอวดอ้างว่ารักษาโรคได้ <b><span style="color: red;">เพราะอาหารเสริมไม่ใช่ยาที่จะนำไปรักษาโรคให้หายขาด</span></b> หากมีอาการป่วยที่ไม่ทราบว่าเป็นโรคอะไรแน่ควรพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยหาโรคก่อนเสมอ ไม่ควรรับประทานอาหารเสริมและมัวแต่รอผลของอาหารเสริมอาจเสียเวลาในการรักษาโรคที่แน่นอน ผู้ที่จะรับประทานอาหารเสริมควรศึกษาข้อดี ข้อเสีย ข้อควรระวัง ข้อห้ามก่อนรับประทาน สำหรับคนที่มีโรคประจำตัวควรปรึกษาแพทย์ก่อน<br />
<br />
อาหารเสริม กับข้อห้ามสำหรับบางโรค<br />
<br />
<b style="color: #660000;">นิ่วในไต </b><br />
<br />
ระวังในการรับประทาน<b>แคลเซียม</b> เพราะในบางรายอาจเพิ่มการขับแคลเซียมในปัสสาวะ เกิดการตกตะกอน ทำให้นิ่วโตเร็วขึ้นในผู้ที่ป่วยเป็นนิ่วแลัว ควรได้รับการตรวจแคลเซียมในปัสสาวะและพิจารณาโดยแพทย์ก่อน<br />
<br />
<div style="color: #660000;"><b>นิ่วในถุงน้ำดี</b></div><br />
ห้าม<b>ขมิ้นชัน</b> และ<b>ว่านชักมดลูก</b> เพราะทั้งสองตัวเพิ่มการหลั่งน้ำดีอาจทำให้นิ่วโตเร็ว แต่เมื่อได้รับการผ่าตัดถุงน้ำดีไปแล้วสามารถรับประทานได้<br />
<br />
<b style="color: #660000;">โรคลมชัก โรคจิต</b><br />
<br />
ห้ามน้ำ<b>มันพริมโรส</b> และ <b>แอล-ธีอะนีน</b> เพราะอาจทำให้อาการแย่ลงแม้จะเริ่มมีงานวิจัยคัดค้านว่าไม่เป็นอันตราย แต่ให้ถือว่าห้ามรับประทานไว้ก่อน<br />
<br />
<b style="color: #660000;">เบาหวาน</b><br />
<br />
ห้ามลดน้ำหนักด้วยสูตรอาหารเพื่อสุขภาพทั้งหมดเพราะจะทำให้น้ำตาลในเส้นเลือดต่ำเกินไปเสมอจนเป็นอันตราย ทั้งนี้ รวมจากผลของยาเบาหวานด้วย ผู้ป่วยเบาหวานถ้าต้องการจะลดน้ำหนักต้องปรึกษาแพทย์ที่รักษาในการปรับยาเบหวานและอยู่ในความดูแลของแพทย์เสมอ<br />
<br />
<b style="color: #660000;">โรคหัวใจ อัมพาต</b> <b><span style="color: #660000;">เส้นเลือดอุดตัน</span></b>(อาจจะทานยาแอสไพรินหรือยาต้านเกล็ดเม็ดเลือดยาละลายลิ่มเลือด เป็นต้น)<br />
ห้าม <b>แป๊ะก๊วย น้ำมันพริมโรส โสม กระเทียม น้ำมันปลา เห็ดหลินจือ สารสกัดจากเมล็ดองุ่น หว่านชักมดลูก</b> ในกรณีที่ทานยาต้านการแข็งตัวของเลือดปริมาณสูงห้ามรับประทาน <b>โคเอ็นไซน์ คิาเท็น</b><br />
<br />
<b style="color: #660000;">โรคตับทุกชนิด(ทีมีเอนไซน์ของการทำงานของตับสูง คือค่า SGOT SGPT มากกว่า 40 IU)</b><br />
<br />
ห้า เมสมุนไพร เช่น<b> โสม เห็ดหลินจือ ใบบัวบก แปะก๊วย ฟ้าทะลายโจร กราวเครือ ว่านชักมดลูก</b> เพราะเป็นสมุนไพรที่มีความเป็นยาสูง อาจทำให้ตับทำงานหนัก(<b>แต่สำหรับพาหะไวรัสตับอักเสบบี ที่มีเอนไซน์ของการทำงานของตับปกติ คือ ค่า SGOT SGPT น้อยกว่า 40 IU</b> จะรับประทานอาหารเสริมที่มีความเป็นสมุนไพรบางชนิดที่สามารถแนะนำได้คือ <b>ขมิ้นชัน และสารสกัดจากชาเขียว</b>แต่ควรเช็คการทำงานของตับเป็นระยะ)<br />
<br />
<div style="color: red;"><b>ข้อห้ามอย่างเด็ดขาด สำหรับอาหารเสริม</b></div><br />
<b>สตรีตั้งครรภ์ต่ำกว่า4 เดือน</b> ไม่ให้รับประทานอาหารเสริมทุกชนิด เพื่อความปลอดภัยสูงสุด(สตรีตั้งครรภ์ทุกระยะไม่ควารรับประทานสมุนไพร สำหรับสตรีที่อายุครรภ์เกินสี่เดือน อาหารเพื่อสุขภาพที่สามารถแนะนำได้ควรเป็นพวก วิตามิน โปรตีน แคลเซียม น้ำผลไม้ และน้ำมันปลาเท่านั้น)<br />
<br />
<b>เด็กอายุต่ำกว่า1ปี</b> ไมให้ทานอาหารเพื่อสุขภาพทุกชนิด เพราะเมื่อไม่สบายจะมีอันตรายสูงต้องตรวจรักษาโดยแพทย์เท่านั้น และไม่ตั้องการอาหารสุขภาพเพิ่มเติมอะไรอีกเลย นอกจากนี้เด็กที่ยังเคี้ยวหรือกลืนยาไม่ได้ ก็อาจจะติดคอเป็นอันตราย<br />
<br />
<b>คนไข้ในโรงพยาบาล</b> ไม่ให้ทานอาหารเสริมเพื่อสุขภาพทุกชนิด เพราะอาจจะรบกวนการทำงานของแพทย์รบกวนยา หรือคนไข้อาจมีภาวะที่ตับ ไต ไม่แข็งแรง เป็นต้น<br />
<br />
<br />
<br />
ที่มาจากนังสือ The Dietary Supplement Pyramid รายละเอียดที่เป็นประโยชน์อีกมากมายเพิ่มเติมในหนังสือ ขอได้ฟรีทีศูนย์กิฟฟารีนMongkyhttp://www.blogger.com/profile/03088371074340768744noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5126024383371538952.post-52903218605182252732010-10-08T18:08:00.001+07:002010-10-08T18:14:17.330+07:00เจียวกู้หลาน หรือ เจียวกู่หลาน ( JIAOGULAN )<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh7VatBboLe8313xffKeWQlqvAqR1gursq7nLdYnR5_r2YEBK2wF5YsUExnfoI3ql6dg7vQrydcscfL5wOlgOqbF7JzMRPk1QX_j4sh4rb1T2yQiGvvQufsl7ucN8jOWi4OSYoDXgS7SXR5/s1600/Gypenoside.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="256" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh7VatBboLe8313xffKeWQlqvAqR1gursq7nLdYnR5_r2YEBK2wF5YsUExnfoI3ql6dg7vQrydcscfL5wOlgOqbF7JzMRPk1QX_j4sh4rb1T2yQiGvvQufsl7ucN8jOWi4OSYoDXgS7SXR5/s320/Gypenoside.jpg" width="320" /></a></div><br />
<br />
<br />
<b>เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ เจียวกู่หลาน</b><br />
<br />
เจียวกู่หลาน มีอีกชื่อว่า <b>“ปัญจขันธ์</b>” ได้รับคัดเลือกเป็นสมุนไพรแห่งปี 2548 ร่วมกับฟ้าทะลายโจร จากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข<br />
เจียวกู่หลาน มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Gynostemma pentaphyllum จัดเป็นพืชสมุนไพรชนิดเถา มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเอเชียตะวันออก และเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ พบตั้งแต่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี อินเดีย เนปาล ศรีลังกา พม่า ไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ฯลฯ ในประเทศจีนใช้แก้ไอ รักษาอาการอักเสบ ขับเสมหะ รักษาอาการหลอดลมเรื้อรัง และตับอักเสบจากการติดเชื้อ ในการแพทย์พื้นบ้านของญี่ปุ่น ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ ลดไข้ แก้อักเสบ และบำรุงกำลัง สมุนไพรชนิดนี้มีประวัติการใช้มายาวนานในประเทศจีน และญี่ปุ่น ทั้งเป็นยาและเป็นอาหารเสริมสุขภาพ (อ้างอิงที่ 1)<br />
<br />
<a name='more'></a><br />
<br />
มีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเจียวกู่หลาน หรือปัญจขันธ์ หลาย ๆ ด้าน ซึ่งสรุปมาพอสังเขปได้ดังนี้<br />
การวิจัยในสัตว์ทดลอง (อ้างอิงที่ 2)<br />
ลดไขมันในเลือดในหนูขาว<br />
ลดน้ำตาลในเลือด ในหนูขาว<br />
ลดการเกิดเส้นเลือดหัวใจหดตัว ในหนูถีบจักร<br />
ลดการขาดเลือดเลี้ยงสมองในกระต่าย<br />
ปกป้องตับจากสารพิษ acetaminophen ในหนูขาว<br />
ลดการอักเสบ ในหนูขาวที่เหนี่ยวนำให้อุ้งเท้าอักเสบ<br />
ฤทธิ์ขยายหลอดลม ในหนูตะเภา<br />
ยับยั้ง และทำลาย มะเร็งหลายชนิด ได้แก่<br />
มะเร็งกระพุ้งแก้ม หนูแฮมสเตอร์ มะเร็งตับ ของหนูถีบจักร<br />
มะเร็งหลอดอาหารของหนูขาว และ มะเร็งช่องท้องของหนูถีบจักร<br />
เพิ่มภูมิต้านทานของร่างกาย ในหนูที่เป็นมะเร็ง<br />
<br />
การวิจัยใน คน<br />
ฤทธิ์ต้านมะเร็ง<br />
มีงานวิจัย ฤทธิต้านมะเร็ง ของ เจียวกู่หลาน กับ เซลล์มะเร็งของมนุษย์ ที่ได้รับการเพาะเลี้ยงไว้ มากมายหลายชนิด ดังนี้<br />
• มะเร็งตับ สาร Gypenosides ในเจียวกู่หลาน สามารถยับยั้งการแบ่งตัว และทำลาย เซลล์มะเร็งตับ Hep3B HA22T และ Huh-7 cell lines ของคนได้จริง ด้วยกลไกที่ชัดเจน ( อ้างอิงที่ 3,4 )<br />
• มะเร็งปอด สาร Gypenosides สามารถทำลายเซลล์มะเร็งปอด human lung cancer A-549 ของคนได้จริง ด้วยกลไก รบกวนการทำงานของ โปรตีน caspases-3 and -9 ( อ้างอิงที่ 5 )<br />
• มะเร็งลำไส้ใหญ่ สารGypenosides ในเจียวกู่หลาน สามารถทำลาย เซลล์มะเร็งลำไส้ลำไส้ใหญ่ของมนุษย์ human colon cancer colo 205 cells ด้วยการรบกวนโปรตีน และเหนี่ยวนำให้เกิดการทำลายของเซลล์ ( apoptosis ) ได้จริง ( อ้างอิงที่ 6 )<br />
• มะเร็งลิ้น สาร Gypenosides ในเจียวกู่หลาน สามารถทำลายเซลล์มะเร็ง ลิ้น human oral cancer SAS cells ของคนได้จริงด้วยกลไกของการยับยั้งการแสดงของ DNA repair genes และยังสามารถ ยับยั้งการลุกลามแพร่กระจาย ของมะเร็งลิ้นอีกชนิดคือ human tongue cancer SCC4 ของคนได้จริง ด้วยการยับยั้งการแบ่งตัวและทำลายเซลล์มะเร็ง ( apoptosis ) ด้วยการรบกวนการทำงานของโปรตีน ( อ้างอิงที่ 7-9 )<br />
• อาจจะช่วยทำลายมะเร็งปากมดลูก สารสำคัญ Gypenosides ในเจียวกู่หลาน อาจจะช่วยทำลาย มะเร็งปากมดลูก โดยการลดกลไกการควบคุมยีนของมะเร็ง ( อ้างอิงที่ 10 )<br />
ฤทธิ์เพิ่มภูมิต้านทานในร่างกาย<br />
<br />
มีงานวิจัยในผู้ป่วยมะเร็ง 19 คน โดยให้รับประทานส่วนสกัดซาโปนินจากเจียวกู่หลานในขนาด gypenoside 240 มิลลิกรัม ต่อวัน เป็นเวลา นาน 1 เดือน โดยเลือกในช่วงเวลา ที่ ผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาด้วยเคมีบำบัด พบว่า ผู้ป่วย 10 คนดีขึ้นอย่างชัดเจน ผู้ป่วย 7 คนอาการดีขึ้น ในภาพรวมของการทดลองได้ผลดี 89.5% และการเพิ่มจำนวนของเซลล์เม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้นในผู้ป่วย 17 คน แต่อีก 2 คนจำนวนเม็ดเลือดขาวลดลง ระดับอิมมูโนกลอบูลินในเลือดอยู่ในระดับปกติ และระดับ IgC ในเลือดลดลง และไม่มีผลข้างเคียงใด ๆ (อ้างอิงที่ 11)<br />
<br />
ลดระดับน้ำตาลในผู้ป่วยเบาหวาน<br />
มีงานวิจัย ในผู้ป่วยเบาหวาน Type 2 (ซึ่งเป็นโรคเบาหวาน ชนิดที่พบบ่อยที่สุด) โดยดื่ม ชาเจียวกู่หลาน พบว่า การบริโภค ชาในปริมาณ 6 กรัมต่อวัน เป็นเวลา 12 สัปดาห์สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ เล็กน้อย แต่ก็มีอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยไม่มีอาการน้ำตาลต่ำหรือผลข้างเคียงอื่นใด (อ้างอิงที่ 12)<br />
<br />
มีประโยชน์ในผู้ที่มีไขมันเกาะตับ<br />
งานวิจัย การให้สารสกัดเจียวกู่หลาน ในปริมาณ 80 ซีซี ต่อวัน ในผู้ป่วย ที่ไม่ได้ดื่มแอลกอฮอล์ แต่มีภาวะไขมันเกาะตับ โดยแบ่งเป็นสองกลุ่ม คือกลุ่มควบคุมคือไม่ได้รับ สารสกัดเจียวกู่หลาน และกลุ่มที่ได้สารสกัดเป็นเวลาสี่เดือน กลุ่มที่ได้รับ สารสกัดเจียวกู่หลาน มีค่าระดับของ ความอ้วน ( BMI ) เอนไซม์ตับ ( SGOT, SGPT ) และ อินซูลิน ลดลงไปในแนวทางที่ดีกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับสารสกัด ทั้งสองกลุ่ม มีค่าไขมัน เกาะตับลดลง ถือได้ว่ามีประโยชน์ในผู้ป่วยกลุ่มนี้ (อ้างอิงที่ 13)<br />
<br />
การศึกษาองค์ประกอบทางเคมี<br />
ข้อมูลการวิจัยของวิจัยชาวจีนและ ญี่ปุ่นพบว่า เจียวกู่หลาน มีสารสำคัญอยู่หลายชนิดที่พบมาก เรียกกันทั่วไปว่า Gypenosides เป็นสารจำพวก Saponin ซึ่งมีอยู่ไม่น้อยกว่า 80 ชนิด Gypenosides อีก 11 ชนิด ซึ่งมีสูตรโครงสร้างคล้ายคลึงกับ Ginsenosides ที่พบในโสม<br />
ซาโปนิน ที่พบใน เจียวกู่หลาน มีจำนวน 82 ชนิด แต่ซาโปนินที่พบในโสมมีเพียง 28 ชนิด ในจำนวนนี้มี 4 ชนิดที่เหมือนกัน ได้แก่ Gypenosides Rb1 , Ginsenosides Rb3, Ginsenoside Rd และ Ginsenoside F3 จะเห็นได้ว่า เจียวกู่หลาน กับโสม มีสาระสำคัญทีคล้ายกัน อยู่หลายตัว ( อ้างอิงที่ 1-2 )<br />
<br />
การศึกษาความเป็นพิษ<br />
สารสกัดน้ำของเจียวกู่หลาน เมื่อนำมาทดสอบความเป็นพิษเรื้อรังในหนูขาว โดยแบ่งหนูขาวออกเป็น 5 กลุ่ม และให้กินสารสกัดของเจียวกู่หลานในขนาด 6, 30, 150 และ 750 มก./กก./วัน นาน 6 เดือน และกลุ่มควบคุมได้รับสารสกัดขนาด 10 มล./กก. พบว่าในทุกกลุ่มการทดลองไม่พบพิษหรือผลข้างเคียงใด ๆ เมื่อได้รับสารสกัดเจียวกู่หลาน (ค่าชีวเคมีในเลือดปกติลักษณะทางพยาธิสภาพอวัยวะภายในปกติ) (อ้างอิงที่ 14) นอกจากนี้จากการศึกษาความปลอดภัยของสารสกัดเจียวกู่หลานที่ศึกษาในอาสาสมัคร 30 ราย โดยแบ่งอาสาสมัครออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 ให้รับประทานสารสกัดเจียวกู่หลานแคปซูลครั้งละ 1 แคปซูล ประกอบด้วยสาร gypenoside 40 มก./แคปซูล หลังอาหารวันละ 2 ครั้ง (เช้า-เย็น) ติดต่อกันนาน 2 เดือน กลุ่มที่ 2 รับประทานสารสกัดเจียวกู่หลานแคปซูลครั้งละ 2 แคปซูล หลังอาหารวันละ 2 ครั้ง (เช้า-เย็น) นาน 2 เดือน พบว่าจากการศึกษาไม่พบอาการผิดปกติใด ๆ ในอาสาสมัคร (อ้างอิงที่ 1)<br />
<br />
ข้อห้ามของ เจียวกู่หลาน<br />
ไม่ควรรับประทาน ในเด็ก และสตรีมีครรภ์<br />
ไม่ควรรับประทานในผู้ที่รับประทานยาต้านเกล็ดเลือด ยาละลายลิ่มเลือด ยาต้านการแข็งตัวของเลือด<br />
<br />
เอกสารอ้างอิง :<br />
1. สมุนไพรน่ารู้ 2 ปัญจขันธ์. สถาบันวิจัยสมุนไพร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข. พิมพ์ครั้งที่ 2. พฤษภาคม 2548.<br />
2. เจียวกู่หลาน (ปัญจขันธ์). จุลสารข้อมูลสมุนไพร. 2549; 23(2): 2-9<br />
3. Gypenoside induces apoptosis in human Hep3B and HA22T tumour cells. Cytobios. 1999;100(393):37-48.<br />
4. Regulation ob Bcl-2 family molecules and activation of caspase cascade involved in gypenosides-induced apoptosis in human hepatoma cells .Cancer Lett. 2002 Sep 26;183(2):169-78.<br />
5. Gypenosides induced G0/G1 arrest via inhibition of cyclin E and induction of apoptosis via activation of caspases-3 and -9 in human lung cancer A-549 cells. In Vivo. 2008 Mar-Apr;22(2):215-21.<br />
6. Gypenosides induced apoptosis in human colon cancer cells through the mitochondria-dependent pathways and activation of caspase-3. Anticancer Res. 2006 Nov-Dec;26(6B):4313-26.<br />
7. Gypenosides causes DNA damage and inhibits expression of DNA repair genes of human oral cancer SAS cells. In Vivo. 2010 May-Jun;24(3):287-91.<br />
8. Gypenosides inhibited invasion and migration of human tongue cancer SCC4 cells through down-regulation of NFkappaB and matrix metalloproteinase-9. Anticancer Res. 2008 Mar-Apr;28(2A):1093-9.<br />
9. Gypenosides induced G0/G1 arrest via CHk2 and apoptosis through endoplasmic reticulum stress and mitochondria-dependent pathways in human tongue cancer SCC-4 cells. Oral Oncol. 2009 Mar;45(3):273-83. Epub 2008 Jul 31.<br />
10. N-acetyltransferase is involved in gypenosides-induced N-acetylation of 2-aminofluorene and DNA adduct formation in human cervix epidermoid carcinoma cells (Ca Ski). In Vivo. 2003 May-Jun;17(3):281-8.<br />
11. Inmnulogic effects of Jiaogulan granule in 19 cancer patients.Zhejiang-Zhongyi Zazhi 1989; 24 (10); 449 .จุลสารข้อมูลสมุนไพร 23(2) 2549:<br />
12. Antidiabetic effect of Gynostemma pentaphyllum tea in randomly assigned type 2 diabetic patients. Horm Metab Res. 2010 May;42(5):353-7. Epub 2010 Mar 8.<br />
13. The add-on effects of Gynostemma pentaphyllum on nonalcoholic fatty liver disease. Altern Ther Health Med. 2006 May-Jun;12(3):34-9.<br />
14. Chronic toxicity of Gynostemma pentaphyllum. Fitoterapia. 2004;75(6):539-551Mongkyhttp://www.blogger.com/profile/03088371074340768744noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-5126024383371538952.post-65647705763339832902010-10-08T17:43:00.002+07:002010-10-08T17:55:33.756+07:00มะรุม<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj04UFDrVpfiZcktDK8v39SNJIxTlWRcoMs0X6_ZFhiZTYw8dFeHrkFtkvex0xNr5JT2AcA-mxpaZLlBCkVGAffCbBubMaHM2nJ7Flw1QXN4TbATBeODhgLU-DQA0FhErFZ5C6wk1Mk5SPg/s1600/marum01.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="240" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj04UFDrVpfiZcktDK8v39SNJIxTlWRcoMs0X6_ZFhiZTYw8dFeHrkFtkvex0xNr5JT2AcA-mxpaZLlBCkVGAffCbBubMaHM2nJ7Flw1QXN4TbATBeODhgLU-DQA0FhErFZ5C6wk1Mk5SPg/s320/marum01.jpg" width="320" /></a></div><br />
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ มะรุม<br />
<br />
มะรุมเป็นพืชสมุนไพรที่ใช้ เป็นอาหารอยู่ในหลายประเทศ มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Moringa oleifera Lamk มะรุมมีชื่อเรียกต่าง ๆ คือ “drum stick tree” “horse radish tree” “kelor tree” ส่วนต่าง ๆ ที่ใช้รับประทานคือ ใบ ผล ดอก และฝักอ่อน สำหรับในประเทศไทย นิยมใช้ฝักมะรุมปรุงอาหารในรูปของแกงส้ม แกงอ่อม<br />
การใช้ประโยชน์ทางยา พบว่า เกือบจะทุก ๆ ส่วนของต้นมะรุม มีการนำไปใช้ทางยาในแถบเอเชียใต้ ส่วนที่ใช้คือ ราก เปลือกต้น กัม (gum) ใบ ผล (ฝัก) ดอก เมล็ด และน้ำมันจากเมล็ด (อ้างอิงที่ 1) ในตำรายาพื้นบ้าน ใช้ใบมะรุมพอกแผลช่วยห้ามเลือด ทำให้นอนหลับ เป็นยาระบาย ขับปัสสาวะ และช่วยแก้ไข้ ใช้ส่วนดอกและผลเป็นยาบำรุง ขับปัสสาวะ และแก้ไข้ ใช้ส่วนเมล็ดบดพอกแก้ปวดข้อตามข้อ และแก้ไข้ (อ้างอิงที่ 2) มีรายงานกล่าวถึงการนำพืชนี้มาใช้เป็นยาครอบจักรวาล (panacea) (อ้างอิงที่ 3)<br />
ในภาพรวมของข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการวิจัยในระดับเซลล์และสัตว์ทดลองพบว่า มะรุมมีฤทธิ์ที่น่าสนใจมากมาย เช่น ฤทธิ์ลดความดันโลหิต ต้านการเกิดเนื้องอก ต้านมะเร็ง ลดระดับโคเลสเตอรอล ต้านการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ป้องกันตับอักเสบ ต้านออกซิเดชัน ต้านเชื้อแบคทีเรีย ลดระดับน้ำตาล และฤทธิ์ต้านการอักเสบ<br />
<br />
สำหรับงานวิจัยที่น่าสนใจในสัตว์ทดลองมีโดยย่อดังนี้<br />
ฤทธิ์ลดความดันโลหิต<br />
สารสกัดน้ำและเอทานอลของใบมะรุม สารสกัดเอทานอลของผลและฝัก สารในกลุ่ม glycosides ในสารสกัดเมทานอลของฝักแห้งและเมล็ด แสดงฤทธิ์ลดความดันโลหิตในสุนัขและหนูแรท<br />
<br />
<a name='more'></a><br />
<br />
ฤทธิ์ต้านการเกิดเนื้องอกและฤทธิ์ต้านมะเร็ง<br />
สารสำคัญในกลุ่ม thiocarbamate จากใบ สารสกัดเอทานอลของเมล็ด แสดงฤทธิ์ทั้งยับยั้งการเจริญเติบโต และทำลายเซลล์มะเร็ง เมื่อป้อนสารสกัดของผลและฝัก ขนาด 5 มก./กก. น้ำหนักตัว มีผลลดจำนวนหนูเม้าส์ที่เป็นมะเร็งผิวหนังได้<br />
<br />
ฤทธิ์ลดระดับโคเลสเตอรอล<br />
สารสกัดน้ำของส่วนใบ มีผลลดระดับโคเลสเตอรอลและลดการเกิด plaque ในหลอดเลือดของหนูแรทและกระต่ายซึ่งได้รับอาหารชนิดที่มีไขมันสูง การทดสอบโดยให้กระต่ายที่มีระดับโคเลสเตอรอลสูงและกระต่ายปกติ โดยให้กินผลมะรุมขนาด 200 มก./กก. น้ำหนักตัว ต่อวัน นาน 120 วัน เปรียบเทียบกับยาลดไขมันโลวาสแตทิน 6 มก./กก. น้ำหนักตัว ต่อวัน และให้อาหารไขมันมาก พบว่ามีผลลดระดับโคเลสเตอรอล, phospholipids, triglycerides, low density lipoprotein (LDL), very low density lipoprotein (VLDL), อัตราส่วนระหว่างโคเลสเตอรอลและ phospholipids และ atherogenic index ในกระต่ายกลุ่มแรกได้<br />
<br />
ฤทธิ์ต้านการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร<br />
สารสกัดเมทานอลของใบ และสารสกัดเมทานอลจากส่วนดอก สามารถยับยั้งการเกิดแผลในกระเพาะอาหารของหนูแรท ซึ่งถูกเหนี่ยวนำโดยแอสไพรินได้ ในขณะที่สารสกัดน้ำจากใบมีผลป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหารด้วย<br />
<br />
ฤทธิ์ป้องกันตับอักเสบ<br />
สารสกัด 80% เอทานอลจากใบ สารสกัดน้ำและสารสกัดเอทานอลจากดอก มีฤทธิ์ป้องกันการทำลายเซลล์ตับหนูแรทที่ได้รับ acetaminophen (ยาพาราเซตามอล) และสารสกัดน้ำจากส่วนรากแสดงฤทธิ์ป้องกันการทำลายเซลล์ตับหนูแรทจากการ เหนี่ยวนำโดยยาไรแฟมพิซิน<br />
<br />
ฤทธิ์ต้านออกซิเดชัน<br />
สารสกัดน้ำ สารสกัด 80% เมทานอล และสารสกัด 70% เอทานอลจากส่วนใบ ผงแห้งบดหยาบและสารสกัดน้ำจากเมล็ด และสารในกลุ่ม phenol จากส่วนราก สามารถต้านและกำจัดอนุมูลอิสระได้<br />
<br />
ฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย<br />
น้ำคั้นสดของใบ สารประกอบคล้าย pterygospermin ของดอก สารสกัดอะซีโตนและสารสกัดเอทานอลจากเมล็ด สารสกัดน้ำจากเมล็ด น้ำคั้นจากเปลือกต้น สารสกัดเอทานอลของเปลือกราก และสาร athomin จากเปลือกราก มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียได้หลายชนิด นอกจากนี้ยังมีการใช้สารสกัดน้ำมันจากเมล็ด ซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับใช้ กับตา โดยพบว่าใช้ได้ดีกับ pyodermia ในหนูเมาส์ ที่มีสาเหตุมาจาก Staphylococcus aureus<br />
<br />
ฤทธิ์ลดระดับน้ำตาล<br />
ผงใบแห้ง สารสกัด 95% เอทานอล และเถ้าจากเปลือกต้น มีผลลดระดับน้ำตาลในเลือดของหนูแรทปกติ และหนูที่เป็นเบาหวาน ส่วนสารสกัดเมทานอลจากเปลือกรากแสดงฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในหนูเม้าส์<br />
<br />
ฤทธิ์ต้านการอักเสบ<br />
ชาชงน้ำร้อน และสารสกัดเมทานอลจากราก มีฤทธิ์ยับยั้งอาการบวมที่อุ้งเท้าหลังของหนูแรทและหนูเม้าส์ที่ถูกเหนี่ยว นำด้วยคาราจีแนน ในขณะที่เมล็ดแก่สีเขียว สารสกัดเอทานอลจากเมล็ดแห้ง และสารสกัดเอทานอลจากเมล็ด มีผลลดการอักเสบของทางเดินหายใจในหนูตะเภา ซึ่งยืนยันถึงการใช้มะรุมในทางพื้นบ้านเพื่อบำบัดอาการผิดปกติจากภูมิแพ้ เช่น หอบหืด สารสกัดเอทานอลจากเมล็ด สามารถลดการบวมของอุ้งเท้าบริเวณข้อของหนูแรท และพบว่าสารสกัดมะรุมมีผลลด oxidative stress ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับฤทธิ์ต้านการอักเสบด้วย<br />
(อ้างอิงที่ 2)<br />
นอกจากฤทธิ์ดังกล่าวข้างต้น มีงานวิจัยจากต่างประเทศหลายงานวิจัยรองรับว่า มะรุมมีสารอาหารต่าง ๆ มากมาย เช่น เป็นแหล่งของโปรตีน มีวิตามิน เบต้า-แคโรทีน กรดอะมิโน อีกทั้งยังเป็นแหล่งของ แคลเซียม เหล็ก และสังกะสี (อ้างอิงที่ 4-6) นอกจากนี้แล้ว ยังพบว่ามะรุมมีสาร Polyphenol ซึ่งมีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระด้วย (อ้างอิงที่ 7)<br />
สำหรับความเป็นพิษของใบมะรุมนั้น มีการรายงานความเป็นพิษเฉียบพลัน (Acute Toxicity) ของมะรุมในระดับสัตว์ทดลองว่า ผงใบมะรุมขนาด 5 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ไม่ทำให้เกิดพิษเฉียบพลัน (อ้างอิงที่ ) หรืออาจจะเปรียบเทียบได้ว่า น้ำหนักตัวที่ 50 กิโลกรัม การได้รับผงใบมะรุมขนาด 25 กรัม ไม่ทำให้เกิดพิษเฉียบพลัน<br />
<br />
ข้อแนะนำในการรับประทาน<br />
แม้ว่าจะเป็นที่นิยมรับประทาน กันมาเป็นเวลานาน หรือเป็นอาหารสุขภาพที่นิยมรับประทานกันในคนไทยมาร่วมปีแล้ว แต่เนื่องจาก มะรุมยังไม่มีงานวิจัยความเป็นพิษระยะยาวในสัตว์ทดลอง คำแนะนำคือ ควรมีระยะเวลาพักในการรับประทานบ้าง คือ อาจจะไม่ทานต่อเนื่องทุกวัน ควรมีระยะพัก ต่อเดือนประมาณ 5-7 วัน<br />
ข้อห้าม สำหรับผู้ที่จะรับประทาน มะรุม<br />
• เด็ก และสตรีมีครรภ์ เป็นข้อห้ามสำหรับสมุนไพรทุกชนิดอยู่แล้ว<br />
• ผู้ป่วยโรค เลือด จีซิกพีดี ( G6PD ) ( โรคเลือดอื่น ๆ ไม่ได้ห้าม ) โรคนี้จะห้ามรับประทาน ถั่วปากอ้า ซึ่งในมะรุม มีสารบางชนิดคล้ายในถั่วปากอ้า จึงควรห้ามรับประทานไปด้วย<br />
• สตรี ที่อาจจะตั้งครรภ์ หรือ มีศักยภาพที่จะตั้งครรภ์ เช่น อยู่ในวัย และไม่ได้รับประทานยาคุมกำเนิด เป็นต้น เพราะมีงานวิจัยว่า ปริมาณสูง ทำให้เกิดการแท้งในหนูทดลองได้<br />
• ผู้ป่วยโรค ตับ ตับอักเสบ หรือตับแข็ง เป็นข้อห้ามสำหรับสมุนไพรทุกชนิดอยู่แล้ว<br />
• ผู้ที่รับประทานยา ต้านไวรัส เอชไอวี เพราะอาจจะมีผลรบกวนระดับยาได้<br />
ข้อมูลดังกล่าวข้างต้น จะะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค และเป็นแนวทางที่จะช่วยในการตัดสินใจใช้ผลิตภัณฑ์มะรุมต่างๆ เพื่อดูแลสุขภาพ ป้องกันหรือรักษาโรค ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบพืชสด แห้ง เป็นแคปซูล หรือเป็นสารสกัด<br />
<br />
เอกสารอ้างอิง :<br />
1. มะรุม: พืชสมุนไพรหลากประโยชน์. จุลสารข้อมูลสมุนไพร 26[4]: 2552<br />
2. มะรุม: พืชที่ทุกคนอยากรู้. สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. http://www.medplant.mahidol.ac.th/document/moringa.asp<br />
3. Moringa oleifera (Drumstick): An Overview. PHCOG REV 2008; 2 (4) : 7-13<br />
4. Energy and micronutrient composition of dietary and medicinal wild plants consumed during drought. Study of rural Fulani, northeastern Nigeria. Int J Food Sci Nutr. 2000 May;51(3):195-208.<br />
5. Nutrient content of the edible leaves of seven wild plants from Niger. Plant Foods Hum Nutr. 1998;53(1):57-69.<br />
6. Moringa oleifera: a food plant with multiple medicinal uses. Phytother Res. 2007 Jan;21(1):17-25.<br />
7. Evaluation of the polyphenol content and antioxidant properties of methanol extracts of the leaves, stem, and root barks of Moringa oleifera Lam. J Med Food. 2010 Jun;13(3):710-6.<br />
8. การศึกษาพิษเฉียบพลันของใบมะรุม. สถาบันวิจัยสมุนไพร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์Mongkyhttp://www.blogger.com/profile/03088371074340768744noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5126024383371538952.post-57712825535625918262010-06-12T21:43:00.001+07:002010-06-12T21:45:18.455+07:00เรื่องของขมิ้นชัน<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiENzR_7F7omiXyzxX8x9RpTibbxjTpaiBTGjqvgNGIQPSXwYhdX-gb4uEoKGKGRl-48npelVB-_KgRgKrcOjA9O_UdisDtP7VAZncDf8qtHkR4HeacZNu8gcfLc2s0N8sgpZ1fny00tTRw/s1600/opo%5Bp%5B%5B%5Dop.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiENzR_7F7omiXyzxX8x9RpTibbxjTpaiBTGjqvgNGIQPSXwYhdX-gb4uEoKGKGRl-48npelVB-_KgRgKrcOjA9O_UdisDtP7VAZncDf8qtHkR4HeacZNu8gcfLc2s0N8sgpZ1fny00tTRw/s320/opo%5Bp%5B%5B%5Dop.jpg" /></a></div><br />
ขมิ้นชัน เป็นพืชสมุนไพรชนิดหนึ่ง ซึ่งสามารถนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพ เนื่องจากมีคุณประโยชน์และงานวิจัยทางด้านการแพทย์กล่าวโดยสรุปได้ดังนี้<br />
1. มีประโยชน์ต่อระบบทางเดินอาหาร โดยช่วยลดท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยย่อยอาหาร บำรุงตับ ลดการเจ็บป่วยจากโรคลำไส้เรื้อรัง<br />
2. มีประโยชน์ต่อระบบหัวใจ หลอดเลือดหัวใจ และ สมอง โดยช่วยในเรื่องโรคหัวใจและหลอดเลือด ลดการตายของกล้ามเนื้อหัวใจและป้องกันเซลล์สมองตายจากการขาดเลือด<br />
3. มีประโยชน์ในด้านการช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็งหลายชนิด ได้แก่ มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งเม็ดโลหิตขาว มะเร็งปอด มะเร็งตับ มะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ และอาจลดมะเร็งปากมดลูกอีกด้วย<br />
4. มีประโยชน์ในด้านช่วยบำรุงสมอง และอาจช่วยเรื่องอัลไซเมอร์<br />
5. ช่วยฆ่าเชื้อมาเลเรีย<br />
<br />
<a name='more'></a><br />
<br />
<br />
ขมิ้นชันมี ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Curcuma longa Linn., Curcuma domestica Valeton. ชื่อวงศ์ Zingiberaceae ชื่อท้องถิ่น ขมิ้นแกง, ขมิ้นชัน, ขมิ้นหยวก, ขมิ้นหัว, ขี้มิ้น, ยากยอ, สะยอ, หมิ้น ส่วนที่ใช้คือ เหง้าสดและแห้ง<br />
ขมิ้น เมื่อใช้ภายนอก มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อราและแบคทีเรียได้หลายชนิด แต่บทความนี้จะกล่าวเฉพาะ ประโยชน์ของขมิ้นที่ใช้รับประทานเท่านั้น<br />
<br />
<b>ประโยชน์ และงานวิจัยทางด้านการแพทย์เกี่ยวกับขมิ้นชัน</b><br />
<br />
<b style="color: purple;">ระบบ ทางเดินอาหาร</b><br />
ช่วยท้องอืดเฟ้อ ลดแผลในกระเพาะ ช่วยย่อยอาหาร บำรุงตับ ลดการปวดมดลูก ลดการเจ็บป่วยจากโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง<br />
ขมิ้น ชันช่วยแก้ท้องอืดเฟ้อด้วยการขับลม ( อ้างอิงที่ 1 ) นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ต้านการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ( อ้างอิงที่ 2, 3 ) และฤทธิ์ป้องกันตับอักเสบจากสารพิษอีกด้วย ( อ้างอิงที่ 4, 5 ) จากผลทั้งหมดดังกล่าว ขมิ้นจึงมีผลช่วยบรรเทาอาการปวดท้องเนื่องจากแผลในกระเพาะได้ และช่วยแก้ท้องอืดเฟ้อและช่วยย่อยอาหาร<br />
<br />
<b style="color: purple;">ระบบหัวใจและหลอด เลือดหัวใจและสมอง</b><br />
เคอร์คิวมินในขมิ้น มีความเป็นสารต้านอนุมูลอิสระมากเพียงพอ และมีงานวิจัยในหนูทดลอง ว่าลดการเกิดปริมาณกล้ามเนื้อหัวใจตายจากการขาดเลือดได้จริง โดยการวิจัยได้ทดลองผูกเส้นเลือดหัวใจ ให้กล้ามเนื้อหัวใจตาย กลุ่มที่ได้รับสารเคอร์คิวมิน จะมีปริมาณกล้ามเนื้อหัวใจตายน้อยกว่าอย่างมีนัยสำคัญ ( อ้างอิงที่ 6 )<br />
ใน ทำนองเดียวกัน เคอร์คิวมินในขมิ้น มีผลในการป้องกัน เซลล์สมองตายจากการขาดเลือด ได้ จากกลไกการต้านอนุมูลอิสระ ไม่ได้เกี่ยวข้องใด ๆ กับการแข็งตัวของเกร็ดดเลือด ( อ้างอิงที่ 7 )<br />
<br />
<b style="color: purple;">ขมิ้น ช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็งหลายชนิด</b><br />
ปัจจุบันนี้ ขมิ้นได้รับการวิจัยมากขึ้น และพบว่า สามารถให้เสริมกับยาต้านมะเร็งได้เป็นอย่างดี เพราะช่วยกัน ทำลายเซลล์มะเร็งโดยกลไกอื่น ๆ อีกเพิ่มเติมนอกเหนือไปจากยาต้านมะเร็ง ( อ้างอิงที่ 8 ) และขมิ้นยังได้รับคำแนะนำว่า น่าจะมีบทบาทในการป้องกันมะเร็งได้มาก เพราะมีกลไกป้องกันมะเร็ง โดยออกฤทธิ์ที่เอนไซม์ ระยะหนึ่งและสอง<br />
( Phase I and II carcinogen-metabolizing enzymes ) ในการทำงานก่อมะเร็งของสารเหนี่ยวนำมะเร็งอีกด้วย ( อ้างอิงที่ 9 )<br />
<br />
เคอร์ คิวมินในขมิ้น มีฤทธิ์ยับยั้ง และทำลายเซลล์มะเร็งของมนุษย์ได้หลายชนิด เช่น เซลล์มะเร็งตับ เซลล์มะเร็งเม็ดโลหิตขาว T cell Leukemia เซลล์มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ Bladder cancer cell เซลล์มะเร็งปอด ชนิด non small cell Carcinoma ทำให้มีการเสนอแนะว่า ขมิ้นชัน น่าจะมีบทบาทในการป้องกันมะเร็งปอดในผู้ที่สูบบุหรี่ เซลล์มะเร็ง ผิวหนัง ( melanoma ) เซลล์มะเร็งต่อมนำเหลือง Non-Hodgkin's lymphoma. เซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ ( Human colon adenocarcinoma ) เซลล์มะเร็งต่อมลูกหมาก เซลล์มะเร็งรังไข่ เซลล์มะเร็งเต้านม และเนื่องจากขมิ้นยับยั้ง ไวรัสหูด HPV ซึ่งเป็นสาเหตุหลักและปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งปากมดลูก ทำให้อาจจะมีที่ใช้ในการป้องกันมะเร็งปากมดลูก ( อ้างอิงที่ 10-20 )<br />
<br />
<b style="color: purple;">ขมิ้น บำรุงสมอง อาจจะช่วยเรื่องอัลไซเมอร์</b><br />
ปัจจุบัน มีการค้นพบว่า โรคอัลไซเมอร์ หรือสมองเสื่อม มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างมากในกลุ่มที่อายุน้อยลงเรื่อย ๆ และกลไกของการต้านอนุมูลอิสระ อาจมีบทบาทในการป้องกันการเกิดโรคนี้ได้ ซึ่งตอนนี้ ได้มีงานวิจัย ที่บอกว่า ขมิ้นก็เป็นหนึ่งในสมุนไพรที่น่าจะมีบทบาทในการป้องกันโรคนี้ ( อ้างอิงที่ 21 )<br />
<br />
<b style="color: purple;">ขมิ้นช่วยฆ่าเชื้อมาเลเรีย</b><br />
สารสกัด<span style="color: red;"> เคอร์คิวมิน</span> ในขมิ้น มีประสิทธิภาพที่ค้นพบทางการแพทย์เพิ่มเติมอีกหลายอย่าง เช่น พบคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อมาเลเรีย P Falciparum ทำให้ปัจจุบันมีการพัฒนาเพิ่มเติมที่จะนำมาใช้เป็นยารักษาหรือป้องกัน มาเลเรีย (อ้างอิงที่ 22) การทดลองในหนูพบว่า หนูที่ได้รับประทานเคอร์คิวมิน สารสกัดจากขมิ้น สามารถลดปริมาณ เชื้อมาเลเรีย ( P Falciparum ) ได้ 80 - 90% ( อ้างอิงที่ 23 )<br />
โดยสรุป ขมิ้นชันจึงจัดเป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์กว้างขวาง ปลอดภัยเพราะเป็นพืชผักสวนครัว และมีงานวิจัยทางการแพทย์รองรับมาก เนื่องจากขมิ้นช่วยขับน้ำดี จึงมีข้อแนะนำไม่รับประทานในผู้ป่วยที่เป็นนิ่วในท่อน้ำดี<br />
<br />
<span style="color: purple;">การรับประทานขมิ้นก็สามารถรักษาโรคกระดูกพรุนได้</span><br />
การรับประทาน แกงที่มี "ขมิ้น" เป็นส่วนประกอบ เช่น แกงกะหรี่ มีส่วนช่วยป้องกันโรคกระดูก ข้ออักเสบ และโรคกระดูกได้ <br />
ทีมนักวิทยาศาสตร์สหรัฐ จากมหาวิทยาลัยอริโซนา ระบุว่า ขมิ้นซึ่งมักใช้เป็นส่วนผสมในอาหารประเภทแกงเผ็ด หรือแกงสีเหลืองทั้งหลาย มีสรรพคุณช่วยบำบัดโรคได้<br />
ในวงการแพทย์เอเชียใช้ขมิ้นในการรักษาโรคต่าง ๆ มานานหลายร้อยปี เช่น อาการอักเสบ และพบว่า สารเคอร์คูมิน ที่อยู่ในขมิ้น มีประสิทธิภาพในการป้องกันการเกิดโรคข้อต่ออักเสบได้ และช่วยรักษาอาการอักเสบ พอง หรือบวมของโรคอื่น ๆ ได้ เช่น โรคหืด ลำไส้อักเสบ และโรคกระดูก<br />
<br />
ปัจจุบัน นี้งานวิจัยของขมิ้นชันยังมีตลอดเวลา โดยมีแนวโน้มที่จะนำสารสกัดมาศึกษาเพิ่มเติม จึงเป็นสมุนไพรไทยที่น่าภูมิใจและน่าใช้สำหรับคนไทย อย่างไรก็ตามการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สุขภาพจากขมิ้นชันควรเลือกจากผู้ผลิตที่ ได้รับการรับรองหลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการผลิต ( Good Manufacturing Practice หรือ GMP ) เป็นอย่างน้อย รวมถึงมีการควบคุมคุณภาพของขมิ้นชันให้มั่นใจได้ว่า ผลิตภัณฑ์ขมิ้นชันนั้นมีค่าสารสำคัญคือ เคอร์คิวมิน ตามมาตรฐานกำหนด มีความปลอดภัยMongkyhttp://www.blogger.com/profile/03088371074340768744noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5126024383371538952.post-9471155481099602032010-04-04T17:51:00.000+07:002010-04-04T17:51:01.694+07:00หอยเป๋าฮื้อ<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgS0Jg8aAzrCU_eBiv-eDRAbomJHv2ONgKjeCjgMmBrKLmLUZGYmf4hd3uos5RsuAUqe25jdGtTA0IQjuc2ipiB5NeOfgj2n9KV88ohA13BCiVe0JzJ9nFWn4H4egQ2VD20niZnJuLm_ZSU/s1600/%E0%B8%AB%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%8B%E0%B8%B2%E0%B8%AE%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="400" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgS0Jg8aAzrCU_eBiv-eDRAbomJHv2ONgKjeCjgMmBrKLmLUZGYmf4hd3uos5RsuAUqe25jdGtTA0IQjuc2ipiB5NeOfgj2n9KV88ohA13BCiVe0JzJ9nFWn4H4egQ2VD20niZnJuLm_ZSU/s400/%E0%B8%AB%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%8B%E0%B8%B2%E0%B8%AE%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD.jpg" width="321" /></a></div><b><br />
</b><br />
<strong>รื่องน่ารู้เกี่ยวกับ เป๋าฮื้อ</strong> <br />
<table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody>
<tr> <td class="Infomedium" width="71%"><div align="left"><strong>หอยเป๋าฮื้อ </strong>หรือหอยโข่งทะเล หรือชื่อภาษาอังกฤษว่า อะบาโลน (abalone) เป็นหอยโข่งทะเลฝาเดียวอาศัยตามก้อนหินแถบชายฝั่งทะเล จัดเป็นอาหารที่อุดมคุณค่าโปรตีน และตามความเชื่อตามประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นได้ใช้หอยชนิดนี้เขียนตัวอักษร ถึงพระเจ้า นอกจากนี้หอยเป๋าฮื้อยังเป็นสัตว์กินพืช มีอายุยืน ทำให้มีราคาแพงมาก ในอดีตผู้ที่จะได้กินจึงจะมีแต่พวกจักรพรรดิ์และขุนนางผู้ใหญ่ แต่ในปัจจุบันหอยเป๋าฮื้อเป็นอาหารทั่วไปที่นิยมกินกันในโอกาสสำคัญเนื่อง บางคนยังมีความเชื่อว่าเป็นอาหารสิริมงคล จึงทำให้มีการบริโภคอย่างแพร่หลายมากขึ้นซึ่งเป็นที่นิยมกันมากในประเทศ แถบเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี จีน ไต้หวัน กับหลายประเทศในแถบยุโรปและอเมริกา <em>(อ้างอิงที่ 1, 2)</em> ในประเทศไทยเองก็ได้มีฟาร์ม ทำการเพาะเลี้ยงหอยเป๋าฮื้อสายพันธุ์น้ำอุ่น ที่กำลังเป็นที่นิยมของตลาดในปัจจุบัน คือ ฮาลิโอติส ไดเวอร์สิคัลเลอร์ (<em>Haliotis diversicolor</em>) เป็นหอยเป๋าฮื้อพันธุ์ไต้หวันที่เลี้ยงง่าย โตเร็ว ทนต่อโรค และเป็นความต้องการของตลาด โดยมีตลาดหลักคือ ญี่ปุ่น จีน ฮ่องกง ไต้หวัน <em>(อ้างอิงที่ </em><em>3</em><em>)</em><br />
</div><div align="left">The National Registration Authority for Agricultural and Veterinary Chemicals (NRA) ของรัฐบาลประเทศออสเตรเลีย ได้ประเมินว่าเนื้อหอยเป๋าฮื้อชนิดผง มีสารสำคัญที่ชื่อว่า Glycosaminoglycans <em>(อ้างอิงที่ </em><em>4)</em> หรือที่เรียกกันว่า GAGs ทำหน้าที่เป็นตัวหล่อลื่นให้แก่ข้อ </div></td> </tr>
</tbody></table>มีสารสำคัญที่ชื่อว่า Glycosaminoglycans <em>(อ้างอิงที่ </em><em>4</em><em>)</em> หรือที่เรียกกันว่า GAGs ทำหน้าที่เป็นตัวหล่อลื่นให้แก่ข้อ มีงานวิจัยจากประเทสฝรั่งเศสพบว่าหอยเป๋าฮื้อ พบว่ามีปริมาณ GAGs อยู่ประมาณ 43 % ซึ่งอยู่ในรูปแบบของ Heparan sulfate, Chondroitin/dermatan sulfate and Hyaluronic acid <em>(อ้างอิงที่ 5)</em> <br />
มีรายงานวิจัยถึง GAGs ในรูปแบบของ Chondroitin Sulfate กับกลุ่มคนไข้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับกระดูกข้อเข่าจำนวน 622 คน พบว่ากลุ่มที่ได้รับ Chondroitin Sulfate สามารถลดการสึกหรอของกระดูกอ่อนของข้อได้ดีกว่าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ <em>(อ้าง อิงที่ </em><em>6)</em><br />
<br />
<strong><u>เอกสารอ้างอิง</u></strong><strong><u> : </u></strong><br />
<strong><br />
</strong><br />
<br />
<ul><li>Alabone. <a href="http://en.wikipedia.org/wiki/Abalone">http://en.wikipedia.org/wiki/Abalone</a></li>
<li>คัมภีร์การเพาะเลี้ยงหอย เป๋าฮื้อ. ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย. <a href="http://mdit.pbru.ac.th/sme/Details/InvestmentExamples/I006.doc">http://mdit.pbru.ac.th/sme/Details/InvestmentExamples/I006.doc</a></li>
<li><strong>หอยเป๋าฮื้อ พันธุ์น้ำอุ่น</strong>. Phuket Abalone Farm. <a href="http://www.phuketabalone.com/Abalone-Thai/farm-tropical.html">http://www.phuketabalone.com/Abalone-Thai/farm-tropical.html</a></li>
<li>Notice Alabone Powder. The National Registration Authority for Agricultural and Veterinary Chemicals (NRA). NRA Gazette 9 3 September 2002 page 24.</li>
<li>In Vitro Synthesis of Proteoglycans and Collagen in Primary Cultures of Mantle Cells from the Nacreous Mollusk, Haliotis tuberculata: A New Model for Study of Molluscan Extracellular Matrix. <a href="javascript:AL_get(this,%20'jour',%20'Mar%20Biotechnol%20(NY).');">Mar Biotechnol (NY).</a> 2000 Jul;2(4):387-398</li>
<li>Long-term effects of chondroitins 4 and 6 sulfate on knee osteoarthritis: the study on osteoarthritis progression prevention, a two-year, randomized, double-blind, placebo-controlled trial. <a href="javascript:AL_get(this,%20'jour',%20'Arthritis%20Rheum.');">Arthritis Rheum.</a> 2009 Feb;60(2):524-33</li>
</ul><br />
<br />
<br />
<em><br />
</em>Mongkyhttp://www.blogger.com/profile/03088371074340768744noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5126024383371538952.post-67940813363825374182010-03-24T08:02:00.000+07:002010-03-24T08:02:39.261+07:00ไตรกลีเซอไรด์ (Triglycerides)<div style="text-align: justify;"><blockquote> <dd><b>ไตรกลีเซอไรด์ (Triglycerides) </b>เป็นไขมันในเลือดอย่างหนึ่ง แต่ต่างจากโคเลสเตอรอลที่คนทั่วไปรู้จักกันดี เมื่อเรากินอาหารที่มีจำนวนแคลอรีมากกว่าที่ร่างกายต้องการใช้ ร่างกายก็จะเปลี่ยนไปเป็นไตรกลีเซอไรด์ แล้วเก็บตุนไว้ในเซลล์ไขมัน ระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดที่สูงมีผลเสียต่อสุขภาพ </dd><dd>ผลเสียต่อสุขภาพที่ว่าคือ แม้โคเลสเตอรอลจะไม่สูงแต่ถ้าไตรกลีเซอไรด์สูงก็จะทำให้มีความเสี่ยง ต่อการเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรคหัวใจขาดเลือด อัมพฤกษ์อัมพาต นอกจากนี้ระดับไตรกลีเซอไรด์ที่สูงมากๆ อาจจะทำให้เกิดโรคตับอ่อนอักเสบซึ่งอาจร้ายแรงถึงเสียชีวิตได้ </dd><dd><b>ภาวะที่อาจจะทำให้ระดับไตรกลีเซอไรด์สูง มีดังนี้ </b> <blockquote> <ul type="square"><li>ดื่มเหล้ามาก แอลกอฮอล์ทำให้ตับผลิตไตรกลีเซอไรด์มากขึ้น และทำให้การลดลงของไขมันในเลือดช้ากว่าปกติ </li>
<li>การกินอาหารที่มีแคลอรีมากเกินไป โดยเฉพาะอาหารที่มีน้ำตายมาก ส่วนเกินเหล่านี้จะกลายไปเป็นไตรกลีเซอไรด์ในร่างกาย </li>
<li>คนที่มีอายุมากขึ้น โดยธรรมชาติจะมีระดับไตรกลีเซอไรด์สูงขึ้นกว่าคนอายุน้อย </li>
<li>ยาบางอย่างที่บริโภคเข้าไป อาจทำให้ระดับไตรกลีเซอไรด์สูงขึ้น เช่น ยาขับปัสสาวะไธอาไซต์ ฮอร์โมนเพศหญิง ยาคุม กำเนิดบางชนิด </li>
<li>พันธุกรรมมีส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในการทำให้ระดับไตรกลีเซอไรด์สูง ขึ้น ถ้าท่านมีญาติที่เป็นโรคหัวใจขาดเลือดหรือมีระดับไตรกลีเซอไรด์สูง ท่านก็จะมีความเสี่ยงมากขึ้น เพราะภาวะนี้สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ </li>
<li>โรคบางอย่าง ทำให้ระดับไตรกลีเซอไรด์สูงขึ้น เช่น โรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรคต่อมธัยรอยด์ทำงานน้อย โรคไต และโรคตับ </li>
</ul></blockquote></dd><dd>ท่านที่สงสัยว่าระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดของท่านสูงหรือไม่ อาจตรวจได้โดยการเจาะเลือด แต่ก่อนที่จะไปตรวจต้องเตรียมตัวโดยการงดอาหารตั้งแต่มื้อเย็นก่อนวันไปตรวจ จนถึงรุ่งเช้า หมอจะสั่งเจาะเลือดตรวจ Lipid Profile ซึ่งเป็นการตรวจไขมันหลายตัว รวมทั้ง HDL Cholesterol (โคเลสเตอรอลตัวดี) LDL Cholesterol (โคเลสเตอรอลตัวร้าย) และไตรกลีเซอไรด์ด้วย การตรวจนี้จะทำให้รู้ภาพรวมของไขมันในเลือด </dd><dd><b>ระดับไตรกลีเซอไรด์ที่สูงหรือไม่สูงนั้นจัดโดยความสัมพันธ์ กับความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ และหลอดเลือด ดังนี้คือ</b> <blockquote> <dd>- ระดับสูงมาก คือ 500 มิลลิกรัมหรือมากกว่าต่อ 100 ลบ.ซม. ของเลือด </dd><dd>- ระดับสูง คือ 200 มิลลิกรัมต่อ 100 ลบ.ซม. ของเลือด </dd><dd>- ระดับกลาง คือ 150 ถึง 199 มิลลิกรัม ต่อ 100 ลบ.ซม. ของเลือด </dd><dd>- ระดับปกติ คือ 1498 มิลลิกรัมหรือต่ำกว่า ต่อ 100 ลบ.ซม. ของเลือด </dd></blockquote><center><span style="color: #d50000;"> <b>การควบคุมระดับไตรกลีเซอไรด์ </b>สามารถทำได้โดยการลดน้ำหนัก <br />
ลดการกินของหวานหรืออาหารพวกน้ำตาล เช่น ของหวานพวกทองหยิบ ฝอยทอง คุกกี้ น้ำอัดลม ฯลฯ <br />
ลดการบริโภคแอลกอฮอล์ และไขมันอิ่มตัว </span> <br />
<dd><span style="color: #d50000;">การลดน้ำหนักและการออกกำลังกายโดยทำการออก กำลังกาย 30 นาที ต่อวัน ทุกวัน <br />
หรือเกือบทุกวันสามารถช่วยลดน้ำหนักตัวและระดับไตรกลีเซอไรด์ได้ </span></dd></center> </dd><dd>อาหารที่ได้รับการแนะนำว่าดี คือ เนื้อปลาที่อุดมด้วยกรดไขมันโอเมกา 3 เช่น แมคคอรอล เทราท์ แฮริง ซาร์ดีน ซึ่งเป็นปลาเขตหนาวจะมีกรดไขมันโอเมกา 3 มากกว่าปลาที่อยู่ในเขตร้อน แทนที่การกินเนื้อหมู เนื้อวัวที่มีไขมันอิ่มตัวมากและเป็นผลเสียต่อสุขภาพ โดยจากผลการวิจัยพบว่า กรดไขมันโอเมกา 3 ช่วยลดไตรกลีเซอไรด์และเพิ่มระดับ DHL Cholesterol ทำให้ลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจขาดเลือด และอัมพฤกษ์อัมพาตได้ </dd><dd>ถ้าการควบคุมอาหารและการออกกำลังกายไม่ช่วยให้ระดับไตรกลีเซ อไรด์ลดลง ก็จำเป็นต้องใช้ยาลดไตรกลีเซอไรด์ ซึ่งส่วนมากจะมีราคาแพง เช่น ยากลุ่ม fibrates เป็นต้น หรือยากลุ่ม Niacin เช่น Niaspan ยาพวกนี้สามารถช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์ได้ แต่การใช้ยาควรอยู่ในวิจารณญาณของแพทย์มากกว่าที่คนไข้จะไปเที่ยวซื้อยากิน เอง พยายามออกกำลังกายและควบคุมอาหารจะดีที่สุด เพราะทำให้เกิดผลดีต่อร่างกายและจิตใจโดยรวม ที่สำคัญไม่เปลืองเงินมากด้วยครับ </dd></blockquote></div>Mongkyhttp://www.blogger.com/profile/03088371074340768744noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5126024383371538952.post-43327738675183536332010-03-24T07:37:00.004+07:002010-03-24T07:51:33.202+07:00คอเลสเตอรอล (Cholesterol)<div style="font-family: inherit; text-align: left;"><span style="font-size: small;"></span></div><div style="font-family: inherit; text-align: left;"><br />
</div><div style="font-family: inherit; text-align: left;"><span style="font-size: small;">คอเลสเตอรอล (Cholesterol) คือ ไขมันที่อยู่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกายมนุษย์และสัตว์ มีคุณสมบัติที่ไม่ละลายน้ำ เป็นสิ่งจำเป็นที่ช่วยให้ร่างกาย ทำงานได้ เพราะนอกจากอยู่ในเลือดแล้ว ยังครอบคลุมทุกส่วนในร่างกาย เป็นส่วนหนึ่งของเนื้อเยื่อของเซลล์จำนวนมากมายนับไม่ถ้วน และมีมากในสมอง กับไขสันหลัง ซึ่งในไขสันหลัง และสมองนั้นมีคอเลสเตอรอลเป็นส่วนประกอบถึง 1 ใน 4 นอกจากนี้ยังพบมากตามเนื้อ และใต้ผิวหนัง คนอ้วนจะมีไขมันตามบริเวณดังกล่าวมากกว่าคนผอม <br />
คอเลสเตอรอลนั้นถูกผลิตขึ้นในตับ แล้วถูกส่งไปยังส่วนต่างๆ ให้แก่เซลล์ โดยผ่านทางเส้นเลือด ซึ่งเซลล์จะรับไปในจำนวนที่มันต้องการ แล้วส่วนที่เหลือที่เกินความต้องการจะยังคงติดกรังอยู่ในเส้นเลือด ขัดขวางการไหลเวียนของกระแสเลือด ซึ่งก่อให้เกิดแนวโน้มเป็นโรคหลอดเลือดแข็งตัว แต่หากเกิดกับเส้นเลือดแดงที่หล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ ก็ปรากฎอาการโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด<br />
คอเลสเตอรอลนั้นจะสะสมอยู่ตามผนังหลอดเลือดแดงอย่างเงียบๆ ไม่มีอาการเจ็บปวดแต่อย่างใด เสมือนกับมัจจุราชที่ก้าวเท้าเข้าหาอย่างเงียบๆ</span></div><div style="font-family: inherit; text-align: left;"><span style="font-size: small;"> แต่ทว่าตัวคอเลสเตอรอลนั้น ใช่ว่าจะส่งผลเสียแก่ร่างกายเสมอไป คอเลสเตอรอล นั้นได้แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ ชนิดดีและชนิดไม่ดี<br />
ชนิดดีเรียกว่า HDLs (High Density Lipoproteins) ได้จากอาหารและร่างกายผลิตขึ้น เพื่อนำไปใช้ ชนิดนี้จะช่วยขับ คอเลสเตอรอลที่เกินต้องการออกจากร่างกายด้วย<br />
ชนิดไม่ดีเรียกว่า LDLs (Low Density Lipoproteins) ได้จากอาหารเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ เป็นชนิดที่ร่างกายไม่ต้องการ<br />
ดังนั้นเวลาดูค่า หรือระดับของ คอเลสเตอรอล ในร่างกายควรที่จะดูที่สัดส่วนของ HDL กับ LDL จะดีกว่า </span></div><div style="font-family: inherit; text-align: left;"><span style="font-size: small;"> และเป็นเรื่องที่น่าแปลก จากการศึกษา พบว่ามีจำนวนสัดส่วนที่มากพอสมควร ของผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด กลับมีระดับ คอเลสเตอรอล ในร่างกายต่ำหรือเป็นปกติ ซึ่งชี้ให้เห็นว่าสาเหตุของโรคหัวใจและหลอดเลือดไม่ได้เกิดจากไขมัน คอเลสเตอรอล เองโดยตรง แต่สิ่งที่เป็นผลร้ายกับร่างกายคืออนุภาคออกซิไดซ์ของ LDL หรือ คอเลสเตอรอล ที่ไม่ดีนั่นเอง<br />
<br />
วันนี้หลายคนคงได้เข้าใจแล้วว่า จริงๆ แล้ว คอเลสเตอรอล ที่พูดถึงกันอยู่ทุกวันนั้นคืออะไร และในตอนต่อไป เราจะมาพูดถึง HDL กับ LDL อย่างละเอียด และเห็นภาพกว่านี้กัน<a name='more'></a></span></div><div style="font-family: inherit; text-align: left;"><br />
</div><div class="separator" style="clear: both; font-family: inherit; text-align: left;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgmfx37mjqOUOUFg22Rsa_9OlCTBCqzxSTAUJXgJxEPFpNFHgBTecLv6LvMmlxAS8LHbn5_4q94nrmvXSTceO0ZLUP010g6J7VmRvb98bK88h3YDjpod1Im8BKwF0_-VPWLvS0EG9md0UG8/s1600-h/ldl.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgmfx37mjqOUOUFg22Rsa_9OlCTBCqzxSTAUJXgJxEPFpNFHgBTecLv6LvMmlxAS8LHbn5_4q94nrmvXSTceO0ZLUP010g6J7VmRvb98bK88h3YDjpod1Im8BKwF0_-VPWLvS0EG9md0UG8/s320/ldl.jpg" /></a></div><div style="font-family: inherit; text-align: left;"><br />
</div><div style="font-family: inherit; text-align: left;"><span style="font-size: small;"> <b style="color: red;">LDL คอเลสเตอรอล หรือคอเลสเตอรอลให้โทษ</b></span></div><div style="font-family: inherit; text-align: left;"><span style="font-size: small;"> เหตุใดจึงได้ชื่อว่าคอเลสเตอรอลให้โทษ<br />
ไขมันจำพวกคอเลสเตอรอลมีคุณสมบัติไม่ละลายน้ำ และไม่สามารถอยู่ในกระแสเลือดตลอด เหตุนี้จึงเปลี่ยนสภาพเป็นสารตัวใหม่ ชื่อว่า ไลโปโปรตีน มีคุณสมบัติละลายน้ำง่าย ไลโปโปรตีนมีไม่กี่ชนิด แต่ชนิดที่ติดอยู่ตามผิวหนังหลอดเลือดแดง เรียกว่า LDL คอเลสเตอรอล หรือคอเลสเตอรอลให้โทษ</span></div><div style="font-family: inherit; text-align: left;"><span style="font-size: small;"> LDL คอเลสเตอรอล มีหน้าที่พาคอเลสเตอรอลตัวสำคัญอื่นๆ ไปยังเซลล์ หากร่างกายมี LDL คอเลสเตอรอลไม่เพียงพอ ผนังหลอดเลือดจะบางลง การผลิตฮอร์โมนต่างๆ ลดลง เป็นต้น</span></div><div style="font-family: inherit; text-align: left;"><span style="font-size: small;"> ไลโปโปรตีนในเลือดมี 4 ชนิด</span></div><div style="font-family: inherit; text-align: left;"><span style="font-size: small;"> 1. LDL</span></div><div style="font-family: inherit; text-align: left;"><span style="font-size: small;"> 2. HDL</span></div><div style="font-family: inherit; text-align: left;"><span style="font-size: small;"> 3. ไคโลมีครอน</span></div><div style="font-family: inherit; text-align: left;"><span style="font-size: small;"> 4. VLDL</span></div><div style="font-family: inherit; text-align: left;"><span style="font-size: small;"> การมี LDL คอเลสเตอรอลปริมาณมากเกินไปจะเปลี่ยนหน้าที่ เกาะอยู่ตามผนังหลอดเลือดแดง จนหลอดเลือดแดงแข็งตัวมากขึ้นเรื่อยๆ</span></div><div style="font-family: inherit; text-align: left;"><span style="font-size: small;"> เมื่อทานอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง หรือด้วยสาเหตุใดก็ตาม เป็นเหตุให้ร่างกายขจัด LDL คอเลสเตอรอลไม่ทัน ส่วนนี้จึงกลายเป็นคอเลสเตอรอลให้โทษ</span></div><div style="font-family: inherit; text-align: left;"><span style="font-size: small;"> ปัจจุบัน LDL คอเลสเตอรอลสามารถอยู่ในกระแสเลือดนานกว่าเดิม จากสาเหตุบางอย่าง หนึ่งในสาเหตุเหล่านั้นคือ การรวมตัวกับออกซิเจนแล้วจะเกาะตามผนังภายในหลอดเลือดแดงง่ายขึ้น</span></div><div style="font-family: inherit; text-align: left;"><br />
</div><div class="separator" style="clear: both; font-family: inherit; text-align: left;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiskwkaASED_3bnJohpPHkfeGt3WmfyNSP2SzBPYAV1c6zxN8Yoh-WytEEGr4QkD6tGQv-RooSHn56hdai8qEVANsN_FKMAkIcYwdmXtsCGVEQG9KgOHShqecEMIZYMR9jMQnAMvdfb6ult/s1600-h/hdl.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiskwkaASED_3bnJohpPHkfeGt3WmfyNSP2SzBPYAV1c6zxN8Yoh-WytEEGr4QkD6tGQv-RooSHn56hdai8qEVANsN_FKMAkIcYwdmXtsCGVEQG9KgOHShqecEMIZYMR9jMQnAMvdfb6ult/s320/hdl.jpg" /></a></div><div style="font-family: inherit; text-align: left;"><br />
</div><div style="color: red; font-family: inherit; text-align: left;"><span style="font-size: small;"><b>HDL คอเลสเตอรอล หรือคอเลสเตอรอลชนิดที่จำเป็นต่อร่างกาย</b></span></div><div style="font-family: inherit; text-align: left;"><span style="font-size: small;">ในบรรดาไลโปโปรตีน ไม่ควรมองข้าม HDL คอเลสเตอรอล เพราะร่างกายสามารถสร้าง HDL คอเลสเตอรอลได้ที่ตับ และลำไส้เล็ก มีหน้าที่ลำเลียงคอเลสเตอรอลส่วนที่เหลือใช้จากเซลล์กลับไปยังตับ HDL เมื่อรวมกับคอเลสเตอรอลตัวอื่นจะมีขนาดใหญ่ขึ้น และไหลวนเวียนอยู่ในเลือด</span></div><div style="font-family: inherit; text-align: left;"><span style="font-size: small;"> LDL คอเลสเตอรอลได้ชื่อว่าเป็นคอเลสเตอรอลให้โทษ แต่สำหรับ HDL คอเลสเตอรอล ทำหน้าที่กำจัดคอเลสเตอรอลที่เหลือออกจากผนังหลอดเลือดแดง จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า คอเลสเตอรอลชนิดที่จำเป็นต่อร่างกาย</span></div><div style="font-family: inherit; text-align: left;"><span style="font-size: small;">ผู้ที่มี HDL ในเลือดเพียงพอ มีโอกาสเกิดโรค หลอดเลือดแดงแข็งตัว น้อยกว่าคนกลุ่มอื่น แม้ว่าร่างกายจะมี LDL คอเลสเตอรอลสูงกว่าปกติบ้าง และเกาะอยู่ตามผนังหลอดเลือดแดงก็ตาม แต่ HDL ยังสามารถดึงออกกลับไปยังตับได้</span></div><div style="font-family: inherit; text-align: left;"><span style="font-size: small;"> HDL กับ LDL คอเลสเตอรอล ต้องมีปริมาณได้สัดส่วนกัน</span></div><div style="font-family: inherit; text-align: left;"><span style="font-size: small;"> เมื่อ HDL และ LDL คอเลสเตอรอลไม่ได้สัดส่วนกัน หรือจากภาวะในเลือดทำให้ HDL ทำงานไม่สะดวก LDL คอเลสเตอรอลสามารถเกาะตามหนังหลอดเลือดแดงง่ายขึ้น</span></div><div style="font-family: inherit; text-align: left;"><span style="font-size: small;"> ผู้สูบบุหรี่มักมี HDL น้อยลง ส่วนผู้ที่ออกกำลังกาย หรือดื่มเหล้าในปริมาณที่พอเหมาะจะมี HDL สูงขึ้น</span></div><div style="font-family: inherit; text-align: left;"><span style="font-size: small;"> จากครั้งนี้ เชื่อว่าคงได้ไขปัญหาคาใจ ของใครต่อหลายคนเสียที ว่า LDL กับ HDL นั้นคืออะไร แล้วต่างกันอย่างไร </span></div><div style="font-family: inherit; text-align: left;"><br />
</div><div style="font-family: inherit; text-align: left;"><span style="font-size: small;">คนที่มีคอเลสเตอรอลสูง จึงควรดูละเอียดด้วยว่า สัดส่วนของชนิดดี (HDLs) กับชนิดไม่ดี (LDLs) เป็นอย่างไร เราควรมีชนิดดีสูงๆ ถ้ามีชนิดดี ต่ำ แสดงว่า อัตราเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจค่อนข้างสูง</span> <span style="font-size: small;">ระดับคอเลสเตอรอลปกติ ควรต่ำกว่า 200 สำหรับ HDLs นั้นสูงเท่าไหร่ยิ่งดี มีการวิจัยออกมาแล้วว่า กลุ่มคนที่กินผักบ่อยๆ จะมีระดับคอเลสเตอรอลต่ำกว่ากลุ่มคนที่กินแต่เนื้อสัตว์เป็นส่วนใหญ่ เมื่อแพทย์พบว่า คนไข้มีคอเลสเตอรอลสูง ก็มักจะแนะนำให้ลดความอ้วน ไม่ให้กินอาหารที่มีไขมันสูง </span></div><div style="font-family: inherit; text-align: left;"><span style="font-size: small;"> <b>วิธีเพิ่ม HDLs ลด LDLs</b> ด้วยอาหารธรรมชาติ เช่น หอมใหญ่ หอมเล็ก เป็นของดี มีประโยชน์ทำให้ตัว HDLs สูง ถ้าเอา ไปทำให้สุก ก็จะด้อยคุณค่าลงเล็กน้อย</span><span style="font-size: small;">ผัก ผลไม้ มักอุดมไปด้วย<b> วิตามินซี เบต้าแคโรทีน (Betacarotene) และพวกแอนตี้ออกซิแดนท์ (Antioxidants)</b> ทั้งหลาย ซึ่งจะมีประโยชน์อย่างมาก ในการทำให้ LDLs เปลี่ยนเป็นน้ำดี วิตามินซี สามารถรวมตัวกับคอเลสเตอรอล และแคลเซียมทำให้คอเลสเตอรอล ละลายน้ำได </span></div><div style="font-family: inherit; text-align: left;"><span style="font-size: small;"> <b>ข้อสำคัญอย่ากินผลไม้ที่เป็นแป้งและหวานมากอันจะมีผลต่อน้ำตาลสูงเกินไป</b></span></div><div style="font-family: inherit; text-align: left;"><span style="font-size: small;"><b> อีก</b></span><span style="font-size: small;"><b>ถั่วและธัญญพืช </b> เช่น ถั่เหลือง ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วดำ และข้าวซ้อมมือ ลูกเดือย ข้าวโอ๊ต ก็เป็นกลุ่มอาหารที่ช่วย ลดคอเลสเตอรอลได้อย่างรวดเร็ว ทั้งยังช่วยเสริมโปรตีนด้วย </span></div><div style="font-family: inherit; text-align: left;"><span style="font-size: small;"> <b>กระเทียม มีสาร อัลลิไทอะมีน</b> ช่วยเผาผลาญและลดคอเลสเตอรอล เพิ่ม HDLs</span></div><div style="font-family: inherit; text-align: left;"><span style="font-size: small;"> <b>อาหารที่มีวิตามินอีสูง</b> ได้แก่ น้ำมันมะกอก ถั่วอัลมอนด์ (Almond) ผลอะโวคาโด (Avocado) และพวกธัญญพืชต่างๆ แต่น้ำมันมะกอก ถั่วอัลมอนด์ รวมทั้วอะโวคาโด กลับช่วยทำให้ HDLs ของคุณสูขึ้น เป็นไขมันที่ร่างกายต้องการ เช่นดียวกับไขมันจากปลา </span></div><div style="font-family: inherit; text-align: left;"><br />
</div><div style="font-family: inherit; text-align: left;"><br />
</div>Mongkyhttp://www.blogger.com/profile/03088371074340768744noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5126024383371538952.post-82724307679917701712010-03-24T07:09:00.000+07:002010-03-24T07:09:05.072+07:00น้ำมันจมูกข้าวและรำข้าว<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgU9AlX6eZ1YxcTktvRVvJ4nrjAIB2aXvXIxwApEYSsAfiz2OpqSFV29TBOdxS1h6sIMQ0AcrtXlFIl22qeEuYVkkgIL9loMW4t_NPjoBx7TYGAr9StJLlRGPvzDUcq3YQNhIqE0gWElqdn/s1600-h/images.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="249" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgU9AlX6eZ1YxcTktvRVvJ4nrjAIB2aXvXIxwApEYSsAfiz2OpqSFV29TBOdxS1h6sIMQ0AcrtXlFIl22qeEuYVkkgIL9loMW4t_NPjoBx7TYGAr9StJLlRGPvzDUcq3YQNhIqE0gWElqdn/s320/images.jpg" width="320" /></a></div><br />
ประโยชน์ของน้ำมันรำข้าวจมูกข้าว<br />
<br />
1. ป้องกันโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดตีบตัน ในน้ำมันรำข้าวสกัดมี<br />
Gamma-Oryzanol,Phytosterol,Tocopherol,<br />
Tocotrienol,Oleic Acid (Omega 9) ซึ่งสารดังกล่าวข้างต้น<br />
- ช่วยลดคลอเลสเตอรอลชนิดที่ไม่ดี (LDL-Low Density Lipoprotein)<br />
- ช่วยลดไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride)<br />
- ช่วยเพิ่มระดับของ HDL.(High Density Lipoprotein) ซึ่งเป็นคลอเรสเตอรอลที่มีประโยชน์ต่อร่างกา มีผลทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตในร่างกายทำงานเป็นปกติ อวัยวะต่างๆ เช่น หัวใจ,สมอง,ตับ,ไต ฯลฯทำงานได้ดีขึ้น ทำให้สามารถป้องกันการเกิดโรคหัวใจ และกลุ่มโรคหลอดเลือดตีบตันได้ เช่น โรคหัวใจขาดเลือด,หัวใจวาย ,อัมพาต,อัมพฤกษ์ เป็นต้น<br />
<br />
2. ป้องกันโรคเบาหวาน ในน้ำมันรำข้าวสกัดมี ธาตุโครเมียม ซึ่งธาตุนี้เมื่อร่างกายดูดซึม<br />
เข้า สู่ระบบไหลเวียนโลหิต จะทำหน้าที่ในการจับฮอร์โมนอินซูลิน ทำให้ฮอร์โมนอินซูลิน คงตัวได้นานเกาะตามเซลล์ต่างๆของกล้ามเนื้อ ทำให้ฮอร์โมนอินซูลินมีประสิทธิภาพสูงขึ้น มีผลทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวานควบคุมได้ง่ายขึ้น<br />
<br />
3. ป้องกันโรคมะเร็ง ในน้ำมันรำข้าวสกัดมี กลุ่มวิตามินอี<br />
(Tocopherol,Tocotrienol), สเตอรอลจากพืช (Phytosterol),แกมม่า-โอไรซานอล (Gamma-Oryzanol) ซึ่งสารดังกล่าวข้างต้น มีสารต้านอนุมูลอิสระ (Anti-Oxidant) ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคมะเร็ง<br />
<br />
4. ป้องกันโรคสายตา ในน้ำมันรำข้าวสกัดมี โปรวิตามินเอ - เบต้าแคโรทีน ซึ่งสามารถป้องกันโรคที่เกิดจากการขาดวิตามินเอได้ โดยเฉพาะโรคน้ำตาแห้ง เป็นต้น นอกจากนี้ยังบำรุงเส้นผมให้ดกดำเป็นเงางามและมีสุขภาพเล็บที่ดี<br />
<br />
5. ป้องกันโรคสมองเสื่อม ในน้ำมันรำข้าวสกัดมี Omega3 ,กลุ่มวิตามินอี,แกมม่า-โอโรซานอล,<br />
Phospholipid ซึ่งสารดังกล่าวข้างต้น มีคุณสมบัติรักษาสมดุลของระบบประสาท บำรุงสมองเสริมความจำ ป้องกันโรคสมองเสื่อม และโรคอัลไซเมอร์<br />
<br />
6. บำรุงผิวพรรณ ในน้ำมันรำข้าวสกัดมี Linoleic Acid (Omega 6),Squalene (Ceramide Group)<br />
ซึ่ง เป็นส่วนประกอบสำคัญของชั้นผิวหนัง ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ทำให้ผิวยืดหยุ่นลดริ้วรอย ป้องกันรังสี UV จากแสงแดด และช่วยปรับสภาพผิว ทำให้ดูขาวกระจ่างใส<br />
<br />
7. ทำให้นอนหลับสบาย ในน้ำมันรำข้าวสกัดมีสารกระตุ้นให้ร่างกายสร้างสารเมลาโทนิน (Melatonin) ซึ่งช่วยทำให้นอนหลับสบาย ,ช่วยลดความเครียด<br />
<br />
8. อุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหารที่ช่วยบำรุงร่างกาย ในน้ำมันรำข้าวสกัดมี<br />
วิตามิน และแร่ธาตุมากมาย เช่น โครเมียม,แมกนีเซียม,แมงกานีส,สังกะสี,ซีลิเนียม,เหล็ก,โปแตสเซียม ซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของระบบหัวใจ ,ระบบประสาท ,ระบบสมอง และอวัยวะอื่นๆ<br />
<br />
9.ทำ ให้ระบบไหลเวียนโลหิตดีขึ้น ในน้ำมันรำข้าวสกัดมี สาร Policosanol (โพลิโคซานอล) ซึ่งสารตัวนี้ ทำหน้าที่เป็น Anti-platelet agent ซึ่งเป็นสารป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด ช่วยให้ผู้ป่วยโรคหัวใจ และโรคหลอดเลือด มีระบบไหลเวียนโลหิตดีขึ้น<br />
<br />
*** ข้อควรระวัง<br />
เวลา เลือกซื้อให้ลองกัดชิมน้ำมันรำข้าจมูกข้าวที่ดีต้องมีรสหวาน ไม่เหม็นหืนเพราะขั้นตอนการผลิตเป็นหัวใจสำคัญ คือ ต้องนำข้าวที่ผ่านการขัดสีไม่เกิน 24 ชั่วโมงมาผลิต(มีเครื่องตรวจความสดของรำและจมูกข้าว)Mongkyhttp://www.blogger.com/profile/03088371074340768744noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5126024383371538952.post-60362402855652510872010-02-24T11:25:00.001+07:002010-02-24T11:27:01.455+07:00ยา อาหารเสริม ที่ไม่ควรกินคู่กัน<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;"> <a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhbhv3Ehvc9iZmNl-mtDUKRB1L2G746TNMkNyUM1LY7NyW_NolK_Pj6qQ1sQ2IyTGInRj0YQ03NDhCNwaGDCF37FiQ0SKId1iDDdHYfhNXgUjb4WGq7tQWW6a-_5ubmNROfvhS6hz65n6m0/s1600-h/%E0%B8%A2%E0%B8%B2+%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="400" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhbhv3Ehvc9iZmNl-mtDUKRB1L2G746TNMkNyUM1LY7NyW_NolK_Pj6qQ1sQ2IyTGInRj0YQ03NDhCNwaGDCF37FiQ0SKId1iDDdHYfhNXgUjb4WGq7tQWW6a-_5ubmNROfvhS6hz65n6m0/s400/%E0%B8%A2%E0%B8%B2+%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A1.jpg" width="368" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">หากคุณมั่นใจว่าผู้ป่วยเลือดจาง ต้องกินอาหารเสริมในกลุ่มธาตุเหล็กให้มาก "คุณคิดผิด" หมอกฤษดาแจกแจงคู่ยา "มิตร-ศัตรู" ให้เข้าใจกันชัดๆ</div><div class="separator" style="clear: both; text-align: left;"><br />
</div><div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">“Good things come in pair” ดังวลีฝรั่งนี้ที่บอกว่าของทุกอย่างมีคู่แฝดอยู่เสมอ อาจเป็นแฝดเหมือนหรือแฝดต่างก็ได้ ซึ่งก็พ้องกับทางพระที่ว่า กุสลาธัมมา อกุสลาธัมมา และโลกธรรมแปดที่เล่าถึงคู่แห่งสัจธรรมในโลกนี้ มีสุขแล้วก็มีทุกข์ มีสรรเสริญก็ย่อมมีนินทา มีลาภก็ย่อมมีเสื่อมลาภได้ดังนี้เป็นต้น </div><br />
ดังนั้น ในเรื่องของโอสถรักษาโรคก็ย่อมต้องมีคู่แฝดของมัน ที่ต้องมีทั้งแฝดที่ดีและแฝดที่ร้ายคล้ายเทวากับซาตานซึ่งเคยมีกรณีที่ถึง แก่ชีวิตมาแล้ว ซึ่งโดยมากมักเกิดจาก “ความไม่รู้” ในฤทธิ์อันไพศาลของยาแต่ละเม็ดที่กินอยู่ โดยเราจะค่อยมาดูกันไปทีละแฝดครับ <br />
แฝดที่ดี <br />
<br />
<a name='more'></a><br />
<br />
เสมือนคู่บุญยิ่งรู้จักกินให้เสริมกันก็จะยิ่งช่วยเสริมสุขภาพหรือทำการ รักษาโรคให้ท่านได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น และที่จริงก็ควรกินคู่กันเสียด้วยเพราะเรื่องของยาอาหารเสริมนี้มีหลักคือทำ งานร่วมกัน โดยกลุ่มที่ควรกินร่วมกันช่วยเสริมให้ดีมีดังต่อไปนี้ครับ <br />
<br />
1) วิตามินซีกับคอลลาเจน จะช่วยกันสร้างเนื้อเยื่อใหม่ให้ใสปิ๊งปั๊งไม่เหี่ยวหย่อนย้อย <br />
<br />
2) ธาตุเหล็กกับวิตามินซี กินธาตุเหล็กให้ดีดูดซึมเข้าไปใช้ได้ ไม่ใช่กินเข้าไปอย่างไรถ่ายออกมาหน้าตาเหมือนเดิมนั้น ต้องกินคู่กันอย่างเช่นถ้าจะกินเลือดหมูให้ได้ธาตุเหล็กก็ควรกินกับผักที่มี วิตามินซีสูงเช่นใบตำลึงก็จะดีไม่น้อยครับ <br />
<br />
3) แคลเซียมกับแมกนีเซียม แคลเซียมจะดูดซึมได้ดีต้องมี “ตัวช่วย” พามันเข้าไปได้แก่แมกนีเซียม, วิตามินดีและวิตามินเคด้วยซึ่งอยู่ในแสงแดดและผักเขียวจัดตามลำดับ <br />
<br />
4) วิตามินเอ,ซีและอี พยายามกินไปด้วยกันเป็นดี หรือสูตรที่ดีคือกินซีเพียงตัวเดียวส่วนเอกับอีนั้นกินเอาจากผักคะน้าและ ถั่วลิสงสักวันละกำมือ <br />
<br />
5) น้ำมันปลา(ไม่ใช่น้ำมันตับปลา)ขอให้เลือกชนิดที่มี ดีเอชเอคู่กับกับอีพีเอ ยิ่งมากหน่อยยิ่งดีอย่างน้อยกินให้ได้ค่า ดีเอชเอ+อีพีเอ = 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน โดยมีเคล็ดไว้ว่าถ้าอยากบำรุงสมองต้องเลือกชนิดที่มีดีเอชเอเด่น แต่ถ้าจะให้บำรุงส่วนอื่นเป็นหลักเช่นข้ออักเสบให้เลือกชนิดที่มีอีพีเอสูง ด้วยครับ <br />
<br />
แฝดที่ร้าย <br />
<br />
แฝดตัวนี้ถือเป็นระดับ “ตัวแม่” ที่น่ากลัวกว่าเยอะมากครับ เพราะอาจทำให้เกิดเลือดออกในสมองจนเป็นอัมพาตหรือหัวใจวายแน่นิ่งไปได้ จึงอยากชวนให้ท่านที่รักมาสนใจในยาที่ไม่ควรกินร่วมกันสักนิดดังนี้ครับ <br />
<br />
1) น้ำมันปลากับแอสไพริน คู่ร้ายอันดับแรกโดยน้ำมันปลานี้มีฤทธิ์ช่วยให้เลือดใสไม่หนืดเหนียว ส่วนแอสไพรินก็มีฤทธิ์เดียวกันคือช่วยให้ไม่เกิดลิ่มเลือดจับแข็งเป็นก้อน ตัน เมื่อกินคู่กันเลยกลายเป็นคู่สังหารพาลให้เลือดไหลพรวดพราดไม่หยุด แม้การกรอฟันเพียงนิดก็อาจทำให้เลือดออกได้ราวกับผ่าตัดใหญ่แล้วครับ <br />
<br />
2) วิตามินอีและอีฟนิ่งพริมโรส มีคนไข้ที่อยากผิวสวยมาหาพร้อมบอกว่ามีคนแนะให้กินวิตามินอีแต่บ้างก็ให้ เลือกเป็นอีฟนิ่งพริมโรสแทนจะเลือกอย่างไรดี จึงได้บอกไปให้เลือกอย่างหนึ่งก็พอเพราะล้วนแต่มีวิตามินอีทั้งนั้นซึ่งถ้า ได้มากไปอาจทำให้เกิดหัวใจพิบัติแทน <br />
<br />
3) แคลเซียมเสริมกับแคลเซียมสด ถ้าท่านกินงาดำได้วันละ 4 ช้อนโต๊ะหรือเต้าหู้ขาวแข็งวันละ 3 ขีดก็จะได้แคลเซียมราว 1,000 มิลลิกรัมอยู่แล้ว ซึ่งถ้าไปหาแคลเซียมเม็ดมากินเติมอีกจะทำให้แคลเซียมเกินและไปจับกับหลอด เลือดทำให้ตีบแข็งได้ <br />
<br />
4) กาแฟกับแคลเซียม ขอให้เลี่ยงกินแคลเซียมร่วมกับกาแฟเพราะกาแฟจะไปยับยั้งการดูดซึมแคลเซียม นอกจากนั้นยังไปดึงแคลเซียมออกจากกระดูกอีกด้วย <br />
<br />
5) ธาตุเหล็กกับเลือดจางธาลัสซีเมีย เป็นไม้เบื่อไม้เมากันทีเดียว ขอให้ลืมความเชื่อที่ว่าถ้าเลือดจางต้องกินธาตุเหล็ก ไม่เสมอไปครับ หากท่านเป็นเลือดจางชนิดธาลัสซีเมียแล้วไปกินธาตุเหล็กเสริมจะเท่ากับเติมยา พิษให้กับหัวใจและตับตัวเองครับ <br />
<br />
ทั้งแฝดดีแฝดร้ายนี้ที่จริงมีอีกมากซึ่งผมได้เคยเขียนไว้ในหนังสือแล้วและก็ ตั้งใจจะเขียนไว้เรื่อยๆเป็นตอนต่อไปในคอลัมนี้ แต่สำหรับที่เลือกมาให้เห็นนั้นเป็นตัวอย่างที่พบบ่อยหน่อยครับและท่านจำไป ใช้ประโยชน์ได้ทันที <br />
<br />
เมื่อถึงตอนนี้ขอให้ท่านหยิบเอาร่วมยาออกมาสังคายนาแยกวางเป็นชนิดไปบนโต๊ะ แล้วจัดเป็นกลุ่มไว้ว่ากลุ่มใดรักษาโรคไหนแล้วบางทีจะเกิดพุทธิปัญญาทีเดียว ว่าตูข้ากินยามากเกินความจำเป็นไปเพียงใด แต่นั่นก็ยังไม่ร้ายเท่ากินยาที่ดันไปเสริมฤทธิ์กันให้เป็นพิษเข้าไปเสียอีก <br />
<br />
ดังนั้น ท่านจะเห็นว่าการกินยานั้นมีข้อหยุมหยิมอยู่มากเมื่อเทียบกับกินอาหาร ธรรมชาติที่โอกาสเกิดการผสมกันเป็นพิษน้อย เพราะมีส่วนประกอบสำคัญอยู่ในปริมาณที่ไม่เข้มข้นมากเท่ายาเคมี แต่อย่างไรก็ดีคงต้องยึดหลักที่ว่าหูไวตาไวถ้ารู้สึกว่า “ไม่ใช่” แล้วก็ให้รีบเร่งบอกอย่าปล่อยให้เลยตามเลยไว้นานเลยครับ<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">*** นพ.กฤษดา ศิรามพุช, พบ.(จุฬาฯ) ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ <a href="mailto:drkrisda@gmail.com"><u><span style="color: #0066cc; font-family: Times New Roman; font-size: small;">drkrisda@gmail.com</span></u></a> </div><br />
ข้อมูลจาก - หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ <br />
<div style="text-align: left;"><br />
</div>Mongkyhttp://www.blogger.com/profile/03088371074340768744noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5126024383371538952.post-88567178625410340912010-02-03T20:11:00.001+07:002010-02-03T20:15:19.793+07:00ท้องเสีย! จุลินทรีย์ดี-ร้ายไม่สมดุล<b>‘จุลินทรีย์’ </b>สิ่งมีชีวิตที่อยู่ในร่างกายของเรา และอย่างที่เคยกล่าวไว้ว่าจุลินทรีย์มีทั้งชนิดที่ให้คุณและให้โทษ โดยต้องรักษาให้จำนวนจุลินทรีย์สองชนิดนั้นอยู่ในระดับสมดุลแล้วร่างกายจะ แข็งแรง <br />
<br />
และวันนี้<b> ‘ภาษาหมอ’ </b>มีจุลินทรีย์ตัวดีมาแนะนำให้รู้จัก อย่าง<b> ‘บิฟิโดแบคทีเรีย’</b> อาศัยอยู่ในลำไส้ <b>ช่วยป้องกันสารพิษดูดซึมผ่านเข้าสู่ร่างกาย</b> สร้างกรดแลคติคและกรดไขมันห่วงโซ่สั้นที่<b>ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ตัวที่ทำให้คนเราเกิดอาการท้องเสีย</b> เช่น E.Coli, Clostridium perfringens, Salmonella spp. และยังช่วย<b>กระตุ้นการสร้างวิตามิน เพิ่มการดูดซึมวิตามินและแร่ธาตุเข้าสู่ร่างกาย </b><br />
<br />
อีกตัวมีชื่อว่า <b>‘แลคโตบาซิลไล’ คอยกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ แย่งอาหารของจุลินทรีย์ตัวร้ายทำให้ไม่สามารถก่อโรคได้</b><br />
<br />
<b>แต่ปัญหาสำคัญอยู่ที่ว่า เมื่อคนเรามีอายุมากขึ้น จุลินทรีย์ตัวดีจะลดจำนวนน้อยลงกว่าตัวร้าย</b> จึงทำให้ผู้สูงอายุมักมีปัญหาเรื่องการขับถ่าย อุจจาระสีคล้ำและเหม็นมาก รวมทั้งภูมิต้านทานลดลง ทำให้ป่วยเป็นโรคต่าง ๆ ง่าย <br />
<br />
เมื่อเป็นเช่นนั้น <b>‘พรีไบโอติก’ </b>หรือกลุ่มหนึ่งของอาหารฟังก์ชั่น มีหน้าที่มากกว่าอาหารที่ให้ความอิ่ม<b> จึงเข้ามาเป็นตัวช่วยคงสภาพความสมดุลของจุลินทรีย์</b> เพราะมีคุณสมบัติป้องกันและรักษาโรค เนื่องจากพรีไบโอติกมีสารที่ร่างกายย่อยไม่หมด หรือลำไส้ส่วนบนไม่สามารถย่อยได้จึงถูกส่งต่อไปยังลำไส้ใหญ่เพื่อให้เป็น อาหารของจุลินทรีย์ตัวดี ไม่ให้ถูกลดจำนวนลง <br />
<br />
<a href="http://whygiffarine-mongky.blogspot.com/2009/12/prebionie-probiotic-prebiotic.html"><b>พรีไบโอติก</b></a>ซึ่งกำลังได้รับความนิยม คือ<b> อินนูลิน และโอลิโกฟรุกโตส</b> พบมากในรากชิโครี อาร์ติโชก หัวหอม หัวหอมใหญ่ ต้นหอม กระเทียม ถั่วเหลือง หน่อไม้ฝรั่ง มะเขือเทศ หรือกล้วย <br />
<b><br />
</b><br />
<b>บทความจาก เดลินิวส์ </b>วันอังคาร ที่ 29 ธันวาคม 2552Mongkyhttp://www.blogger.com/profile/03088371074340768744noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5126024383371538952.post-24463278951737540642010-02-03T20:07:00.001+07:002010-02-03T20:08:58.613+07:00ตั้งค่าระบบขับถ่ายดูและระบบขับถ่ายเราให้ดีสุขภาพก็จะดีด้วย <b>โดยหลังจากการรับประทานอาหารสู่ระบบการย่อยที่เริ่มจากปาก กระเพาะ ลำไส้เล็ก ไปถึงลำไส้ใหญ่</b> อวัยวะยาว 5-7 ฟุต รับหน้าที่ย่อยอาหารชนิดที่ย่อยไม่ได้ในอวัยวะก่อนหน้า หากเป็นน้ำหรือสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายก็จะถูกดูดซับไว้ และในทางตรงกันข้ามหากเป็นกากหรือของเสียก็จะถูกขับออกจากร่างกายภายใน 1-2 วัน แต่ถ้ามีอาการท้องผูกหรือไม่สามรถขับถ่ายได้ทุกวันเป็นกิจวัตร <b>ของเสียคงค้างจากการย่อยสลายเหล่านั้นจะบูดเน่า กลายเป็นสารพิษที่ถูกดูดกลับเข้ากระแสเลือด</b> ส่งผลให้ร่างกายอ่อนแอ นานวันเข้าอาจเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ สำหรับสัญญาณเตือนจากร่างกายที่บ่งบอกว่า คุณควรดูแลระบบขับถ่ายเสียใหม่ คือ <b>ระบบ ขับถ่ายไม่ดี ท้องผูก เป็นริดสีดวงทวาร ปวดท้อง ท้องเสียบ่อย ลำไส้อักเสบ ผิวพรรณหมองคล้ำ ไม่สดใส เป็นผดผื่น แพ้ง่าย เกิดแผลร้อนในบริเวณช่องปากเป็นประจำ มีกลิ่นปาก-กลิ่นตัว รู้สึกเบื่ออาหาร ท้องอืดและผายลมบ่อยครั้ง รวมทั้งปวดศีรษะ รู้สึกหวานๆ ร้อนๆ คล้ายจะเป็นไข้ และภูมิต้านทานต่ำ </b><br />
<b><br />
</b><br />
ในความเป็นจริงนั้น <b>ภายในลำไส้จะมีจุลินทรีย์มากกว่า 400 ชนิด เป็นล้านล้านตัว </b>ที่มีทั้งให้ประโยชน์และก่อให้เกิดโทษแก่ร่างกาย สำหรับชนิดที่มีประโยชน์ เช่น<b> บิฟิโดแบคทีเรีย</b> หรือ<b>แลคโตบาซิลไล </b><b>สามารถช่วยป้องกันสารพิษไม่ให้ร่างกายดูดกลับสู่กระแสเลือด รวมทั้งคอยกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกัน แย่งอาหารจากจุลินทรีย์ตัวร้าย</b> โดยจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์จะลดจำนวนลงเมื่อมีอายุมากขึ้น รวมทั้งปัจจัยอื่น ๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ก็มีสารอาหารบางอย่างช่วยเพิ่มจำนวนจุลินทรีย์ตัวดีได้<br />
<b> </b><br />
<b> บทความจาก เดลินิวส์ </b>วันจันทร์ ที่ 28 ธันวาคม 2552Mongkyhttp://www.blogger.com/profile/03088371074340768744noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5126024383371538952.post-61865493458262711022010-01-08T19:36:00.001+07:002010-01-09T12:04:19.854+07:00คลอโรฟิลส์ Cholrophyll<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjvCgPY1jKYczl87dhdPf17hgjsl73VXeceQbRQv8ovEj4SAQyBHPGpsF6wNarGDwKpUFWxDRaucj7twdyP0yE2WESjCCgbP9s9caPHT6aMyS3wVa0j1CyhTOkS_8mzvLpMyekLKm0vP77u/s1600-h/chlorophyll1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjvCgPY1jKYczl87dhdPf17hgjsl73VXeceQbRQv8ovEj4SAQyBHPGpsF6wNarGDwKpUFWxDRaucj7twdyP0yE2WESjCCgbP9s9caPHT6aMyS3wVa0j1CyhTOkS_8mzvLpMyekLKm0vP77u/s400/chlorophyll1.jpg" /></a><br />
</div><div dir="ltr" style="margin-right: 0px;"><br />
</div><div dir="ltr" style="margin-right: 0px;">คลอโรฟิลล์ ( Chlorophyll ) เป็นสารสีเขียวที่พบในพืชชั้นสูง และสาหร่ายสีเขียว ( Chlorella ) คลอโรฟิลล์ มีโครงสร้างของโมเลกุลจะคล้ายกับฮีม ( heme ) ซึ่งเป็นสารที่ร่างกายนำไปใช้ในการสร้างฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง ต่างกันที่สูตรโมเลกุล ของธาตุที่อยู่ตรงกลาง คือ คลอโรฟิลล์เป็นธาตุแมกนีเซียม ( Mg ) ขณะที่ฮีมเป็นธาตุเหล็ก ( Fe )<br />
</div><div dir="ltr" style="margin-right: 0px;"><br />
อย่างที่ทราบกันว่า คลอโรฟิลล์มีในผักใบเขียว นักวิทยาศาสตร์ ได้ค้นพบมานานแล้ว ว่า การรับประทานผัก สามารถลดอุบัติการณ์ของมะเร็งจำนวนมาก ซึ่งส่วนมากพบว่า กลไกต้านมะเร็งนี้เกิดจาก การต้านอนุมูลอิสระ เมื่อแยกสารต้านอนุมูลอิสระเหล่าออกมาวิจัย ก็พบว่า สามารถยับยั้งการก่อมะเร็งได้จริง แต่ก็มีผู้สงสัยว่า ถ้าเราสกัดแยกแต่คลอโรฟิลล์ออกมา จะยังมีส่วนช่วยในการลดมะเร็งหรือไม่ สารสกัดคลอโรฟิลล์ที่สามารถสกัดแยกออกมานั้น ในรูปของที่รับประทานเป็นอาหาร ( Food grade ) มีความปลอดภัย และรับประทานกันเป็นอาหารสุขภาพทั่วโลก เป็นชนิดที่ละลายในน้ำได้ คือเป็นองค์ประกอบของธาตุ โซเดียม และคอปเปอร์ ( ซึ่งทั้งสองธาตุนี้ก็เป็นสารอาหารที่มีประโยชน์ในร่างกายของเรา ) กับอนุพันธุ์ของ คลอโรฟิลล์ ที่มีชื่อว่า คลอโรฟิลิน ( Chlorophyllin ) เมื่อทำการวิจัยก็พบว่า คลอโรฟิลินมีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระเช่นกัน <br />
</div><div dir="ltr" style="margin-right: 0px;"><br />
</div><a name='more'></a><br />
<br />
งานวิจัยจำนวนมากพบว่า คลอโรฟิลิน สามารถต้านพิษ หรือยับยั้งการทำงานของสารพิษ ในการก่อมะเร็งได้หลายชนิด เช่น สามารถต้านพิษ หรือยับยั้งการทำงานของสารพิษ ในการก่อ มะเร็งผิวหนังของหนูทดลองได้ และที่สำคัญคือ สามารถต้านพิษ อะฟลาทอกซิน ในการก่อมะเร็งตับของคนได้ โดยมีงานวิจัยในอาสาสมัคร 180 คน รูปแบบของงานวิจัย ถือเป็นการทดลองที่ออกแบบมาอย่างดีที่สุดในวงการแพทย์ คือ แบบมีกลุ่มควบคุม ( randomized, double-blind, placebo-controlled ) อาสาสมัครได้รับประทาน คลอโรฟิลิน 100 มก. วันละสามเวลาเป็นเวลาสี่เดือนและวัดสารพิษ เมตาโลไลท์ ของ อะฟลาทอกซิน ในปัสสาวะ ( aflatoxin-N (7) -guanine adducts ) ถ้าพบสารพิษปริมาณสูง จะเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับ สารนี้พบได้ในอาสาสมัครถึง 105 คน การทดลองพบว่า คลอโรฟิลิน สามารถลดสารพิษชนิดนี้ได้ถึง 55% ผู้วิจัยได้ตีพิมพ์ผลงานนี้ในวารสารทางการแพทย์หลายเล่ม นอกจากนี้ สารคลอโรฟิลิน ยังมีฤทธิ์ยับยั้งการแบ่งตัว และทำลายเซลล์มะเร็งเต้านมของคนได้โดยตรงอีกด้วย ( Antiproliferative effect, apoptosis to human breast cancer MCF-7 cells ) <br />
<br />
นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยสนับสนุนที่ทำในคนที่ประสบเหตุได้รับสารพิษ Polychlorinated dibenzofurans ( PCDFs ) และ Polychlorinate dibenzo-p-dioxins ( PCCDS ) จากเหตุการณ์เกิดอาการเป็นพิษของน้ำมันรำข้าวที่เมือง Yusho ประเทศญี่ปุ่น พบว่า การรับประทานผลิตภัณฑ์อาหารที่ดีต่อสุขภาพ ซึ่งเป็นอาหารที่มีใยอาหารและสารคลอโรฟิลล์ มีระดับสารพิษในเลือดลดลง มากกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับประทานผลิตภัณฑ์อาหารที่ดีต่อสุขภาพนี้ รวมถึงงานวิจัยในผู้สูงอายุที่กลั้นปัสสาวะไม่ได้ พบว่า กลุ่มที่รับประทานคลอโรฟิลล์นั้นมีค่าเฉลี่ยความรุนแรงของกลิ่นปัสสาวะลดลง มากกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับคลอโรฟิลล์ <br />
<b><br />
<br />
</b><br />
<b><span style="color: #660000;">คุณสมบัติของ คลอโรฟิลล์ </span></b><br />
<br />
<br />
<div style="text-align: center;"><div style="text-align: left;"> เสริมธาตุเหล็กให้ร่างกาย <br />
<br />
ทำให้สดชื่น หายเหนื่อยจาการอ่อนเพลีย<br />
<br />
ลดความดันโลหิต ลดปัญหาเส้นเลือดหัวใจตีบตัน<br />
<br />
ทำให้ระดับน้ำตาลลดลงสำหรับคนไข้โรคเบาหวาน<br />
<br />
บรรเทาอาการโรคภูมิแพ้ แพ้อากาศ โรคหืด ผื่นลมพิษ ค่อย ๆ ทุเลาจนหายได้<br />
<br />
ขับกรดจากข้อต่าง ๆ ทำให้อาการปวดข้อ ปวดเมื่อยตามตัวทุเลาและหายได้<br />
<br />
ขับสารพิษออกจากร่างกาย สารตกค้างของยาปฏิชีวนะ สารเคมีตกค้างใน อาหาร ทำให้ร่าง กายมีภูมิต้านทานดี สุขภาพแข้งแรง สดชื่นขึ้น<br />
<br />
ป้องกันและระงับการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งและช่วยเพิ่มเซลล์เม็ดเลือดแดง<br />
<br />
แก้ปัญหาคนท้องผูก ขับถ่ายดีขึ้น ริดสีดวงทวารทุเลาและหายได้<br />
<br />
ดับกลิ่นตัว กลิ่นปาก กลิ่นเท้า โดยเฉพาะผู้ชายที่ใส่ถุงเท้าแล้วเหม็น<br />
<br />
แก้ปัญหาอาการชา บวมและส้นเลือดขอดให้ทุเลาลงได้<br />
<br />
ชะลอความแก่ ทำให้มีอายุยืน<br />
<br />
ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ใช้รักษาแผลอักเสบ แผลเปื่อย แผล เรื้อรัง แผลถลอก แผลไฟไหม้ เหงือกอักเสบ แผลในปาก คออักเสบ โดยใช้ผง คลอโรฟิลล์โรยบนแผล จะทำให้แผลหายเร็ว<br />
<br />
บรรเทาอาการปวดศีรษะทั่วไป ปวดศีรษะไมเกรน<br />
<br />
ช่วยแก้ปัญหาเรื่องโรคกระเพาะ ลำไส้อักเสบ ช่วยสมานแผล<br />
<br />
แก้ปัญหาเรื่องสิว ฝ้า ปวดประจำเดือน ประจำเดือนมาไม่ปกติ<br />
<br />
ควบคุมน้ำหนัก ลดน้ำหนัก คลอเรสเตอรอลในเลือด<br />
<br />
มีผลต่อสุขภาพตาในคนที่เป็นต้อกระจก ทำให้การมองเห็นดีขึ้น<br />
<br />
มีสารอาหารบำรุงเส้นผม ทำให้เส้นผมหงอกดำขึ้น ช่วยลดอาการผมร่วง<br />
<br />
ลดอาการเมาค้าง<br />
<br />
ได้ทดลองกับผู้ป่วยโรคเอดส์ เมื่อรับประทานคลอโรฟิลล์เข้าไปแล้ว ทำให้ร่างกายของผู้ป่วยมีระดับภูมิคุ้มกันดีขึ้นเป็นลำดับ<br />
</div><br />
</div>Mongkyhttp://www.blogger.com/profile/03088371074340768744noreply@blogger.com2tag:blogger.com,1999:blog-5126024383371538952.post-22672399768909751672010-01-08T19:11:00.001+07:002010-01-08T19:12:34.713+07:00Slimm-Fitt (สลิมม์-ฟิตต์) ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร สารสกัดจากส้มแขก ผสม แอล-คาร์นิทีน และโครเมียม ชนิดผง ตรา กิฟฟารีน<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi465QBpJ0VslnetkT3A6x1EY0m3dSBSosRNsKyKa5y9Pg1_gMeaZZlhI3za9jOgtZ8jYIRR-uz8WBwxVYfl_O4gnYM4Ujsnypp9IeZVIPwiSI3RjERum0DtcC9e0BtmDdwe0co_wrrlR52/s1600-h/slimm+fitt.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi465QBpJ0VslnetkT3A6x1EY0m3dSBSosRNsKyKa5y9Pg1_gMeaZZlhI3za9jOgtZ8jYIRR-uz8WBwxVYfl_O4gnYM4Ujsnypp9IeZVIPwiSI3RjERum0DtcC9e0BtmDdwe0co_wrrlR52/s320/slimm+fitt.jpg" /></a><br />
</div><br />
<b style="color: #660000;">ส้มแขก( Garcenia Cambogia) </b><br />
เป็นพืชพื้นบ้านดั้งเดิมของไทย ที่นิยมใช้ในการประกอบอาหารมาเป็นเวลานานแล้ว ลักษณะของผลส้มแขก จะคล้ายฟักทองขนาดเล็ก มีมากทางภาคใต้ ซึ่งมีการนำมาปรุงเป็นอาหารโดย ใช้เพิ่มรสเปรี้ยวให้อาหาร(ดูรูปประกอบ)<br />
<a name='more'></a><br />
ได้มีการค้นคว้าพบว่า ผลส้มแขก มีสาร HCA หรือ Hydroxy-citric acid อยู่เป็นจำนวนมาก โดยพบว่า HCA นี้มีคุณสมบัติในการยับยั้งการสะสมของไขมันส่วนเกินในร่างกาย และลดความอยากอาหารได้ จึงได้มีบางคนนำผลส้มแขกมาใช้ในการควบคุมน้ำหนัก<br />
<br />
กลไกการออกฤทธิ์ของ HCA จะออกฤทธิ์โดยการไปยับยั้งการทำงานของเอ็นไซม์ ATP Citrate Lyase ในวงจร Kreb's cycle (วงจรการย่อยสลายกลูโคส ของเซลร่างกาย) ทำให้ยับยั้งการนำน้ำตาล จากอาหารประเภท แป้ง ข้าว และน้ำตาล ไม่ให้เปลี่ยนไปเป็นไขมันสะสมตามร่างกายแต่จะนำไปใช้เป็นพลังงานของร่างกาย ทำให้ร่างกายสดชื่นไม่อ่อนเพลีย และ เมื่อในกระแสเลือดไม่ขาดน้ำตาล ก็จะทำให้ความรู้สึกหิวอาหารลดลง ไปด้วย ขณะเดียวกัน ก็ จะนำไปสะสมเป็นพลังงานสำรองในรูปของไกลโคเจนที่ตับ ทำให้ร่างกายรับรู้ว่ามีพลังงานสำรองเพียงพอ ทำให้ไม่รู้สึกหิวมาก นอกจากนี้ ยังมีผลไปกระตุ้น ให้มีการดึงเอาไขมันที่สะสมออกมาใช้เป็นพลังงานทำให้ไขมันที่สะสมอยู่ลดลงซึ่งจะมีผล ทำให้รูปร่างดีขึ้น<br />
<br />
จากการนำสารสกัดจากผลส้มแขกมารับประทานเพื่อให้น้ำหนักลดลง พบว่าน้ำหนักตัวอาจจะไม่ลดลงเร็วมากนัก ประมาณ 1 กิโลภายใน 3-4 อาทิตย์ แต่รูปร่างจะดีขึ้น เอว(พุง) ลดลง ความอึดอัดลดน้อยลง เนื่องจากไขมันมีน้ำหนักเบากว่ากล้ามเนื้อ ( แต่ถ้าร่างกายสูญเสียกล้ามเนื้อก็จะเกิดการอ่อนแอและโรคแทรกซ้อนได้ง่าย)<br />
<br />
<div style="color: #660000;"><b>L-Carnitine แอล คาร์นิทีน</b><br />
</div><br />
แอล-คาร์นิทีนเป็นรูปที่ออกฤทธิ์ของกรด อะมิโนชนิดคาร์นิทีนซึ่งผลิตจากตับและไต ช่วยลดโอกาสเกิดภาวะหัวใจวาย ช่วยเพิ่มการเคลื่อนที่ของตัวอสุจิ <b> และเพิ่มขบวนการเผาผลาญไขมันในร่างกาย เรามักใช้เพื่อกำจัดไขมันส่วนเกิน ของร่างกายและใช้ร่วมในโปรแกรมการควบคุมน้ำหนัก</b> <br />
<br />
เราพบคาร์นิทีนมากในกล้ามเนื้อหัวใจและกล้ามเนื้อลาย ซึ่งจำเป็นต่อขบวนการเผาผลาญไขมัน โดยช่วยพาไขมันเข้าสู่ไมโตคอนเดรียของเซลล์ (Mitochondria ส่วนของเซลล์ที่ผลิตพลังงานให้แก่เซลล์) ผู้ที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับหัวใจจะมีระดับของคาร์นิทีนต่ำ ซึ่งสมควรรับประทานคาร์นิทีนเสริม นอกจากนี้เรายังพบว่าการให้คาร์นิทีนเสริมจะช่วยป้องกันโอกาสเกิด ภาวะหัวใจล้มเหลวได้ <br />
<br />
คาร์นิทีนยังช่วยสลายไขมันซึ่งเป็นแหล่งพลังงานสำคัญของเซลล์อสุจิ มีการศึกษามากมายที่สนับ- สนุนว่าคาร์นิทีนเพิ่มการผลิตเซลล์อสุจิและเพิ่มการเคลื่อนที่ของเซลล์ด้วย แต่ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่า คาร์นิทีนเพียงตัวเดียวจะช่วยลดภาวะเสื่อมสมรรถภาพในผู้ชายได้ <br />
<br />
แหล่งอาหาร เนื้อแดงและนมสดเป็นแหล่งที่ดีของคาร์นิทีน ร่างกายเราสามารถสังเคราะห์คาร์นิทีนจาก กรดอะมิโนชนิดไลซิน (Lysine พบมากในถั่วฝักและอัลฟัลฟา) และกรดอะมิโนชนิดเมไธโอนีน (Methionine พบมากในธัญพืชและผักใบเขียว) ได้เช่นกัน ผู้ที่มีปัญหาของกล้ามเนื้อหัวใจอาจรับประทานคาร์นิทีน วันละ 2-6 กรัม โดยแบ่งรับประทานวันละ 2 หรือ 3 ครั้ง ในผู้ที่เริ่มเสื่อมสมรรถภาพควรรับประทาน วันละ 2 กรัม ติดต่อกันอย่างน้อย 6 เดือน (เซลล์อสุจิใช้เวลา 74 วันจึงจะโตเต็มที่) <br />
<br />
<span style="font-size: small;"><b><span style="color: #660000;">โครเมี่ยม อะมิโน แอซิด คีเลต (Chromium Amino Acid Chelated) </span></b><br />
ช่วย ลดความอยากอาหาร ป้องกันไม่ให้น้ำตาลเปลี่ยนเป็นไขมัน ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดระดับไขมัน LDL ลดการสร้างไขมันใหม่ และสลายไขมันเก่าให้กลายเป็นกล้ามเนื้อ ทำให้รูปร่างกระชับ ไร้ไขมันส่วนเกิน Chromium AAC มีโมเลกุลขนาดเล็กมาก สามารถดูดซึมผ่านลำไส้ได้โดยทันที โดยไม่ต้องผ่านการย่อย ทำให้เพิ่มขีดความสามารถในการดูดซึมของแร่ธาตุโครเมี่ยมให้สูงยิ่งขึ้นกว่า โครเมี่ยมชนิดอื่นๆ ปราศจากผลข้างเคียง ถึงแม้ว่าจะรับประทานมาเป็นเวลานาน พบโครเมี่ยมในบรูเออร์ยีสต์ ข้าวต่างๆ เนยแข็ง และตับ </span><b><br />
</b><br />
<br />
<span style="color: black;"><b>ส่วนประกอบที่สำคัญโดยประมาณใน 1 ซอง</b> : มีสารสกัดจากส้มแขก 1000 มก. (ให้กรดไฮดรอกซี ซิตริก 500 มก.), แอล-คาร์นิทีน แอล-ทาร์เทต 146 .7 มก. (ให้ แอล-คาร์นิทีน 100 มก.), โครเมียมอะมิโนแอซิตคีเลต 2 มก. (ให้โครเมียม 40 มคก.) <br />
</span><br />
<span style="color: black;">วิธีรับประทาน : รับประทานวันละ 1-2 ซอง ก่อนอาหาร โดยผสมกับน้ำเย็น 150 มล. หรือปริมาณตามชอบ <br />
ขนาดบรรจุ 3.5 กรัม/ซอง (1 กล่องบรรจุ 15 ซอง) รหัส 40946 ราคา 460 บาท <br />
<br />
</span>Mongkyhttp://www.blogger.com/profile/03088371074340768744noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-5126024383371538952.post-51465883286728885842010-01-08T17:37:00.002+07:002010-01-09T12:11:27.285+07:00หลินจือ Ling Zhi<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgTrXjuMOBbDSlPbMntdddpMtmpJjxk_8CwKnJRrUcdj9Guzh4NcKLvwhqkq8RCouxvTtcLwHM7qXSeIorpOIz6tTCUc69GqGRm_KdX86edLA5gp1l8kA5KZNufkvSuC2SYveoGl42ddmf9/s1600-h/ling+zhi.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgTrXjuMOBbDSlPbMntdddpMtmpJjxk_8CwKnJRrUcdj9Guzh4NcKLvwhqkq8RCouxvTtcLwHM7qXSeIorpOIz6tTCUc69GqGRm_KdX86edLA5gp1l8kA5KZNufkvSuC2SYveoGl42ddmf9/s320/ling+zhi.jpg" /></a><br />
</div><br />
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ganoderma lucidum (Fr.) Karst<br />
<b class="texthead">ชื่อพ้อง :</b> Polyporus lucidum Fr.<br />
<b class="texthead">วงศ์ : </b>Ganodermataceae<br />
ชื่ออื่นๆ : เห็ดจวัดงู, เห็ดนางกวัก, เห็ดหมื่นปี, เห็ดอมตะ, เห็ดก<span lang="th">ร</span>ะด้าง, เห็ดไม้<br />
<b>ชื่อสามัญ : </b>Ling Zhi<br />
<div style="color: #660000;"><br />
</div><b style="color: #660000;">ตำนานความเชื่อเกี่ยวกัยเห็ดหลินจือ </b><br />
<br />
มื่อเอ่ยถึงเห็ดหลินจือตามตำนานในคัมภีร์โบราณของจีน "เสินหนงเปินเฉ่า" กล่าวไว้ว่า เห็ดหลินจือเป็นเจ้าแห่งชีวจิต (Spiritual essence) มีพลังมหัศจรรย์ บำรุงร่างกายใช้เป็นยาอายุวัฒนะในการยืดอายุออกไปให้ยืนยาว ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง และยังสามารถรักษาโรคต่างๆ ได้อย่างกว้างขวาง <br />
<div class="textbody03">ชาวจีนโบราณยกย่องให้เห็ดหลินจือว่าดีที่สุดในหมู่สมุนไพรจีน นอกจากมีสรรพคุณดีแล้วยังปลอดภัยไม่มีพิษใดๆ ต่อร่างกาย<br />
</div><div class="textbody03"><b>ชาวจีน โบราณยกย่องให้เห็ดหลินจืด เป็นเห็ดสิริมงคลสัญลักษณ์ แห่งชีวิตและโชคลาภ ดังจะเห็นได้จากบรรดารูปปั้นเทพเจ้า "ฮก ลก ซิ่ว" </b>ที่มีความหมายถึง ความเป็นสิริมงคลทั้งสิ้น จะเห็นได<b>้ว่ามีเทพเจ้าบางองค์ถือดอกเห็ดหลินจืออยู่ในมือ</b>อุปมา ดังคุณธรรมอันสูงส่งแก่ผู้มีไว้ครอบครอง<br />
</div><div class="textbody03"><br />
<a name='more'></a><br />
<br />
</div><div class="textbody03" style="color: #660000;">สรรพคุณทางยาของเห็ดหลินจือ<br />
</div><div class="textbody03">นอกจากความเชื่อแต่ครั้งโบราณแล้วเห็ด หลินจือมีสรรพคุณสามารถรักษาโรคได้จริงหรือไม่นั้น<br />
นักวิจัยจากหลายๆ ประเทศเช่น ญี่ปุ่น จีน และเกาหลี ได้ศึกษาถึงสรรพคุณของเห็ดหลินจือ พบว่าเห็ดหลินจือมีส่วนประกอบของสารที่เป็นประโยชน์มากมาย เช่น โพลีแซคคาไรด์ (polysaccharide) ซาโปนิน (saponins) กรดอะมิโน (amino acid) สารสเตอรอยด์ (steroids) สารแอลคา-ลอยด์ (alkaloids) และสารไตรเทอพีน (triterpene)<br />
</div><div class="textbody03"><br />
<br />
</div><div class="textbody03"><br />
</div><table border="1" bordercolor="#4a2219" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody>
<tr bordercolor="#4A2219"><td align="left" class="textTabel">Adenosine<br />
</td> <td align="left" class="textTabel">การแก้ปวด<br />
</td> </tr>
<tr bordercolor="#4A2219"> <td align="left" class="textTabel">Ganodemic acid R, S Ganosterone Glucan <br />
</td> <td align="left" class="textTabel">การป้องกันตับ<br />
</td> </tr>
<tr bordercolor="#4A2219"> <td align="left" class="textTabel">Polysaccharides, Glucans <br />
</td> <td align="left" class="textTabel">การลดการอักเสบ<br />
</td> </tr>
<tr bordercolor="#4A2219"> <td align="left" class="textTabel">Polysaccharides, Alkaloids <br />
</td> <td align="left" class="textTabel">การควบคุมมะเร็ง<br />
</td> </tr>
<tr bordercolor="#4A2219"> <td align="left" class="textTabel">Ganodemic acids, Cyclooctasulfur <br />
</td> <td align="left" class="textTabel">บำรุงหัวใจ<br />
</td> </tr>
<tr bordercolor="#4A2219"> <td align="left" class="textTabel">Ganodemic acids <br />
</td> <td align="left" class="textTabel">การแแก้แพ้<br />
</td> </tr>
<tr bordercolor="#4A2219"> <td align="left" class="textTabel">Ganoderans<br />
</td> <td align="left" class="textTabel">การลดไขมันในเลือด<br />
</td> </tr>
<tr bordercolor="#4A2219"> <td align="left" class="textTabel">Ganoderol, Ganoderic <br />
</td> <td align="left" class="textTabel">การลดน้ำตาลในเลือด<br />
</td> </tr>
<tr bordercolor="#4A2219"> <td align="left" class="textTabel">Ploysaccharides, Protein <br />
</td> <td align="left" class="textTabel">การปรับความดันโลหิต<br />
</td> </tr>
<tr bordercolor="#4A2219"> <td align="left" class="textTabel">Nucieic acids <br />
</td> <td align="left" class="textTabel">การสร้างระบบภูมิคุ้มกันโรค<br />
</td> </tr>
<tr bordercolor="#4A2219"> <td align="left" class="textTabel"><br />
</td> <td align="left" class="textTabel">การสร้างอินเตอร์เฟียรอย (Interferon) <br />
</td> </tr>
<tr bordercolor="#4A2219"> <td align="left" class="textTabel">Adenosine<br />
</td> <td align="left" class="textTabel">การลดการจับตัวของเกล็ดเลือด<br />
</td> </tr>
<tr bordercolor="#4A2219"> <td align="left" class="textTabel">polysaccharides<br />
</td> <td align="left" class="textTabel"><br />
</td> </tr>
<tr bordercolor="#4A2219"> <td align="left" class="textTabel">polysaccharides<br />
</td> <td align="left" class="textTabel">การสร้างโปรตีน<br />
</td> </tr>
<tr> <td valign="middle" width="285"><br />
</td> <td valign="top" width="287">การป้องกันรังสี<br />
</td></tr>
</tbody></table><div class="textbody03"><br />
</div><b style="color: #660000;"> สรรพคุณในการรักษาโรค</b><br />
<br />
<div class="textbody04">จากสรรพคุณดังกล่าว จึงมีการสกัดสารที่อยู่ในเห็ดหลินจือให้เป็นเม็ดหรือผงเพื่อจำหน่าย โดยอาจจะผสมกับสาหร่าย น้ำตาล แป้ง และเกลือแร่บางชนิดเพื่อบำรุงร่างกาย และมีสรรพคุณในการควบคุมระบบไหลเวียนของโลหิต ควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด บรรเทาอาการไขข้ออักเสบ ช่วยลดและรักษาระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวาน ควบคุมโรคระบบทางเดินอาหาร<br />
</div><div class="textbody04">นอก จากนี้เห็ดหลินจือยังมีคุณสมบัติที่สำคัญ คือ มีสารที่ออกฤทธิ์ต่อต้านเนื้องอก (antitumor) เช่น โรคมะเร็ง ซึ่งสามารถนำมาใช้ควบคู่กับการรักษาทางแพทย์แผนปัจจุบัน โดยนำเห็ดหลินจือที่ฝานเป็นแผ่นบางๆ ตากแดดจนแห้งแล้วนำไปต้มใช้ดื่มแทนน้ำเป็นประจำ แต่อย่างไรก็ตามการบริโภคเห็ดหลินจืออาจก่อให้เกิดอาการพ้ได้ เช่น เกิดอาการถ่ายท้อง ปากแห้ง ท้องอืด ผื่นค้นแต่ผลข้างเคียงเหล่านี้จะค่อยๆ ลดลงเมื่อผู้บริโภคเกิดความเคยชิน<br />
</div><div class="textbody04"><br />
</div><div class="textbody04"><b style="color: #783f04;">สรรพคุณทางการแพทย์ของเห็ดหลินจือ</b> <br />
</div><div class="textbody04"><br />
</div><div class="textbody04"> สารเคมีที่พบในเห็ดหลินจือ มีมากมายหลายชนิด เมื่อวิเคราะห์ในสารสำคัญของเห็ดหลินจือพบว่า มีสรรพคุณทางการแพทย์ที่สำคัญหลายอย่างได้แก่<br />
<br />
1. ฤทธิ์ต้านมะเร็ง<br />
สารสกัดจากเห็ดหลินจืออาจช่วยต้านมะเร็งโดยการเพิ่มสารทำลายมะเร็งจากเม็ด เลือดขาว ได้แก่ สาร interleukin (IL) 1 beta, tumor necrosis factor (TNF) alpha, IL 6 และ interferon (IFN) gamma <br />
<br />
2. ลดความดันโลหิต <br />
สารประเภทไตรเทอร์ปีน มีหลายชนิด เช่น กรดกาโนเดอร์นิค (Ganodernic acid) มีฤทธิ์ลดความดันโลหิตได้<br />
<br />
3. ยับยั้งโรคเอดส์ <br />
สารประเภทไตรเทอร์ปีน ที่น่าสนใจอีกอย่าง ชื่อว่า lucidumol A, และ ganoderic acid ทั้ง alpha และ beta และสารอีกหลายชนิด มีฤทธิ์ยับยั้งไวรัสโรคเอดส์ (Anti HIV1) (อ้างอิงที่ 7 , 8) ได้ อย่างไรก็ตามการทดลองในคนไข้จริงยังไม่พบผลดีที่ชัดเจนในคนไข้โรคเอดส์ (อ้างอิงที่ 9) แต่สารสกัดจากเห็ดหลินจือก็ยังมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อไวรัสประเภทอื่นได้อีก เช่น ชนิดที่ก่อให้เกิดโรคในตระกูลของงูสวัด และอีสุกอีใส (type 1 (HIV-1) and type 2 (HIV-2)) โดยทดลองกับ Verocell ที่ติดเชื้อไวรัสนี้ <br />
</div>4. ลดน้ำตาลในเลือด <br />
212สารกลุ่มกลัยแคน (Glycan) เช่น กาโนเดอร์แลน (Ganoderan A, B, C) มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด<br />
5. ฤทธิ์ยับยั้งการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด<br />
ในเห็ดหลินจือมีสารอะดีโนซีน (Adenosine) ซึ่งยับยั้งการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือดได้<br />
6. ช่วยบำรุงตับ <br />
ฤทธิ์ทางด้านการจับอนุมูลอิสระ (Free Radical Scavenger) ซึ่งมีผลต่อการลดความเป็นพิษจากสารพิษได้บ้าง<br />
<br />
7. ผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกัน <br />
สารกลุ่มโปรตีน เช่น Ling zhi (LZ-8) พบว่ามีผลต่อระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย โดยสามารถทั้งเพิ่มการแบ่งตัว (mitogenic) ต่อเซลล์ม้ามของหนู แต่กลับลดการสร้างภูมิต้านทาน ซึ่งทำให้โรคเบาหวานบางชนิดของหนูลดลง (autoimmune diabetes) <br />
<br />
<div style="color: #660000;"><b>เห็ดหลินจือกับโรคไต</b><br />
</div>จุฬาฯ ทดลอง “เห็ดหลินจือ” รักษาโรคไตเรื้อรัง <br />
ระบุช่วยฟื้นฟูการทำงานของไต <br />
ทางเลือกใหม่ใช้แทนการกินยากดภูมิคุ้มกัน<br />
<div align="justify" class="MsoNormal" style="line-height: 150%; text-indent: 36pt;"> <span style="color: #cc0000; font-size: large;"> <span lang="TH" style="font-family: Microsoft Sans Serif;">แพทย์</span></span><span lang="TH" style="font-family: Microsoft Sans Serif; font-size: 11pt;"><span style="color: #cc0000;">จุฬาฯ </span> ศึกษากลไกการเกิดภาวะไตวายในร่างกาย พร้อมสร้างทางเลือกใหม่รักษาโรคไตเรื้อรังด้วยสารสกัดเห็ดหลินจือ เผยผลทดสอบเบื้องต้นช่วยผู้ป่วยกลับสู่ภาวะปกติ <span style="color: #cc0000;">ระบุสรรพคุณสร้างสมดุลให้ระบบภูมิคุ้มกัน เพิ่มสมรรถภาพการทำงานของไต</span> </span><br />
</div><div align="justify" class="MsoNormal" style="line-height: 150%; text-indent: 36pt;"> <span lang="TH" style="font-family: Microsoft Sans Serif; font-size: 11pt;">รศ.พญ.ดร.นาริสา ฟูตระกูล ภาควิชาสรีระวิทยา คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า ทีมวิจัยค้นคว้ารักษาผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง เนฟโฟรสิส ชนิด </span> <span style="font-family: Microsoft Sans Serif; font-size: 11pt;">focal segmental sclerosis <span lang="TH">ที่ไม่สามารถรักษาได้ด้วยยากดภูมิคุ้มกัน เช่น สเตียรอยด์ โดยเปลี่ยนให้รับประทานสารสกัดจากเห็ดหลินจือ วันละ 750-1,000 </span> </span> <span lang="TH" style="font-family: Microsoft Sans Serif; font-size: 11pt;"> <span style="color: black;">มิลลิกรัม</span></span><span style="font-family: Microsoft Sans Serif;"><span style="font-size: 11pt;"> </span> <span lang="TH" style="font-size: 11pt;"> ควบคู่กับการใช้ยาขยายหลอดเลือด <span style="color: #0033cc;"> พบว่าช่วยฟื้นฟูระบบการทำงานของไตให้ดีขึ้น อีกทั้งภาวะเนื้อไตตายลดลงอย่างชัดเจน </span></span></span><br />
</div><div align="justify" class="MsoNormal" style="line-height: 150%; text-indent: 36pt;"><span style="font-family: Microsoft Sans Serif; font-size: 11pt;">“ <span lang="TH">โรค ไตเรื้อรังที่รักษาไม่ได้และไม่หายนั้นเป็นเพราะเราไม่ทราบกลไกการทำลายไต ที่แท้จริงแต่หลังจากทำวิจัยแล้วพบว่าสาเหตุจากสารพิษในเลือด ทั้งจากสารอนุมูลอิสระ และการเสียสมดุลของระบบภูมิคุ้มกันที่ทำให้สารชัยโคคายน์ที่ส่งเสริมการ อักเสบ (</span>tumor necrosis factor alpha : <span lang="TH">ทีเอ็นเอฟอัลฟา) เพิ่มสูงขึ้นส่งผลกระทบต่อเซลล์บุผิวหลอดเลือด ทำให้สารหดรัดตัวของหลอดเลือดเพิ่มมากขึ้นจนเกิดความดันภายในไตเพิ่มสูงขึ้นและทำให้ไตเกิดภาวะขาดเลือด เกิดเนื้อไตตายได้ </span>”<span lang="TH"> นักวิจัยกล่าว</span></span><span lang="TH" style="font-family: Microsoft Sans Serif; font-size: 11pt;">ทั้งนี้ ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง เนฟโฟรสิส จะมีอาการเนื้อตัวบวมอย่างเห็นได้ชัดและหากตรวจเลือดและปัสสาวะจะพบภาวะไข่ขาวรั่วในปัสสาวะมากกว่า 3.5 กรัมต่อวัน </span> <br />
</div><div align="justify" style="line-height: 150%;"> <span lang="th" style="font-family: Microsoft Sans Serif; font-size: 11pt;"> </span> <span lang="TH" style="font-family: Microsoft Sans Serif; font-size: 11pt;"> ส่งผลให้โปรตีนในเลือดต่ำ ปริมาณในการหมุนเวียนในเลือดไม่เพียงพอก่อให้เกิดการอุดตันและยังมีภาวะเผาผลาญไขมันผิดปกติภาวะต่างๆ เหล่านี้ ทำให้ไตมีการอักเสบเสื่อมและถูกทำลายจนเข้าสู่ภาวะไตวายในท้ายที่สุด</span><br />
</div><div align="justify" class="MsoNormal" style="line-height: 150%; text-indent: 36pt;"> <span style="color: #cc0000; font-size: large;"> <span lang="TH" style="font-family: Microsoft Sans Serif;"> ห</span></span><span lang="TH" style="font-family: Microsoft Sans Serif; font-size: 11pt;"><span style="color: #cc0000;">ลัง</span>จากเข้าใจถึงกลไกของสาเหตุโรคไตแล้ว รศ.พญ.ดร.นริสา จึงได้นำเอาสารสกัดจากเห็ดหลินจือ </span> <span style="font-family: Microsoft Sans Serif; font-size: 11pt;"> (ganoderma lucidum) <span lang="TH">มาทดลองกับผู้ป่วย เนื่องจากมีสรรพคุณในการช่วยฟื้นฟูระบบสมดุลของ ภูมิคุ้มกัน พร้อมทั้งยังได้รักษาร่วมกับการใช้ยาขยายหลอดเลือดด้วย </span> </span><br />
</div><div align="justify" class="MsoNormal" style="line-height: 150%; text-indent: 36pt;"> <span lang="TH" style="font-family: Microsoft Sans Serif; font-size: 11pt;"> สำหรับอาสาสมัครที่เข้ารับการรักษา เป็นผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังที่มีอาการไข่ขาวรั่วใน ปัสสาวะต่อเนื่อง 5 </span> <span style="font-family: Microsoft Sans Serif; font-size: 11pt;"> –<span lang="TH"> 10 ปี กำลังอยู่ในภาวะไตเสื่อมถอยลงอย่างช้าๆ และไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยากดภูมิคุ้มกัน หลังจากรักษาได้ราว 1 ปี พบว่าสภาวะเสียสมดุลของระบบภูมิคุ้มกันเข้าสู่ระดับปกติผู้ป่วยมีการทำงานของไตดีขึ้นภาวะไข่ขาวรั่วในปัสสาวะลดลง และสามารถฟื้นฟูสมรรถภาพของไตให้ดีขึ้นกว่าเดิม</span></span><br />
</div><div align="justify" class="MsoNormal" style="line-height: 150%; text-indent: 36pt;"> <span style="font-family: Microsoft Sans Serif; font-size: 11pt;"> <span style="color: #0033cc;">“</span><span style="color: #0033cc;"><span lang="TH">ปริมาณของสารจากเห็ดหลินจือที่มีคุณสมบัติในการรักษาได้นั้นจะอยู่ประมาณ 750-1,000 </span><span lang="en-us">mg</span><span lang="TH">ต่อวัน โดยต้องใช้ร่วมกับยาขยายหลอดเลือด ซึ่งจะเข้าไปช่วยฟื้นฟูกลศาสตร์ไหลเวียนของไตได้ดีขึ้น เพราะเลือดจะไหลเข้าสู่ไตได้มากขึ้น ทำให้ความดันภายในไตลดลง</span>”<span lang="TH"> นักวิจัยกล่าว</span></span></span><br />
</div><div class="MsoNormal" style="line-height: 150%; text-indent: 36pt;"> <span lang="TH" style="font-family: Microsoft Sans Serif; font-size: 11pt;"> <span style="color: #cc0000;">นอกจากนี้ การบริโภคสารสกัดในปริมาณดังกล่าวยังไม่ก่อให้เกิดอันตรายหรือผลข้างเคียงใดๆ</span> ด้วย เนื่องจากเห็ดหลินจือเป็นสมุนไพรที่มีเพดานการบริโภคที่สูงมาก แต่หากคนปกติทั่วไปต้องการบริโภคเห็ดหลินจือเพื่อบำรุงร่างกายก็อาจไม่จำเป็นต้องรับสารสกัดในขนาดสูงเช่นนั้นก็ได้</span><br />
</div><div class="MsoNormal" style="line-height: 150%; text-indent: 36pt;"> <span style="color: #cc0000; font-size: large;"> <span lang="TH" style="font-family: Microsoft Sans Serif;"> ง</span></span><span lang="TH" style="font-family: Microsoft Sans Serif; font-size: 11pt;"><span style="color: #cc0000;">าน</span>วิจัยชิ้นนี้ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) และนักวิจัยกำลังต่อยอดศึกษาหากลไกทำลายไตในโรคไตเรื้อรังชนิดอื่นๆ โดยเฉพาะกลุ่มไตอักเสบจากเบาหวานที่เป็นสาเหตุสำคัญอันดับหนึ่งของภาวะไตวายเรื้อรังขั้นสุดท้าย รวมทั้งกำลังหาทางพัฒนาวิธีวินิจฉัยความผิดปกติของโรคในระยะเริ่มต้นด้วย</span><br />
</div><div align="justify" class="MsoNormal" style="line-height: 150%; text-indent: 36pt;"><span style="font-family: Microsoft Sans Serif;"><span lang="TH" style="font-size: 11pt;"><span style="color: #0033cc;"> </span> </span></span><br />
</div><table border="0" bordercolor="#111111" cellpadding="0" cellspacing="0" height="59" id="AutoNumber3" style="border-collapse: collapse; width: 14px;"><tbody>
<tr><td width="628"></td> </tr>
<tr> <td bgcolor="#d6ae6b" width="4"> </td> <td bgcolor="#d6ae73" width="4"></td> </tr>
<tr> <td bgcolor="#d6ae6b" width="4"></td> <td bgcolor="#d6ae73" width="4"><br />
</td> </tr>
<tr> <td bgcolor="#d6ae6b" width="4"><br />
</td> </tr>
</tbody></table>Mongkyhttp://www.blogger.com/profile/03088371074340768744noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5126024383371538952.post-5831583294430339222010-01-08T17:24:00.001+07:002010-01-08T17:45:15.276+07:00กวาวเครือแดง Butea supeba<div author="ackarin" author_possessive="ackarin's" class="bodytext" id="item_body" is_pmrepliable="1"><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh00Rvhj5l_AWaPTTUDEgmQQ4CKmM-apnwy2OqIsQ9vL_gzmwmXhrETFjatv4MJKDiGrTw_6coeGaESaZ3oV9xZo8JCaYQS-yBf_INI0nmkBdAfD6dbiivI-YH72ZTsXXIPXPgxcTRBb9xl/s1600-h/02_Butea+superba_clip_image002.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh00Rvhj5l_AWaPTTUDEgmQQ4CKmM-apnwy2OqIsQ9vL_gzmwmXhrETFjatv4MJKDiGrTw_6coeGaESaZ3oV9xZo8JCaYQS-yBf_INI0nmkBdAfD6dbiivI-YH72ZTsXXIPXPgxcTRBb9xl/s640/02_Butea+superba_clip_image002.jpg" /></a><br />
</div><br />
<i><b><span style="color: red;">กวาว เครือแดง ( Butea supeba ) </span></b></i>เป็นกวาวเครือสำหรับบุรุษเพศ โดยมีสรรพคุณไปในด้านบำรุงร่างกาย และสุขภาพให้แข็งแรง เป็นสมุนไพรอายุวัฒนะ ส่งเสริมสมรรถนะทางเพศ<br />
<br />
<b><span style="color: #993333;">สรรพคุณกวาวเครือ ในตำราแพทย์แผนโบราณ</span></b> <br />
ตำรา แผนโบราณได้กล่าว ถึงสรรพคุณของกวาวเครือไว้ในด้านบำรุงร่างกาย โดยรวม ทั้งกวาวเครือขาวและแดงไว้อย่างเดียวกัน ดังนี้ " คนอ่อนเพลีย ผอมแห้ง แรงน้อย นอนไม่หลับ กินไม่ได้ กินยานี้ 20-30 วัน โรคอ่อนเพลียหายสิ้น นอนหลับสบาย เดินไปมาได้ตามปกติ กวาวเครือบำรุงโลหิต บำรุงสมอง บำรุงกำลัง ชายกินแล้วนมแตกพานแข็งเหมือนเด็กหนุ่ม มีกล้าม เนื้อหนังเต่งตึง ท่านห้ามเด็กหนุ่มสาวกิน ตำผงกินกับน้ำนมวัว หัวคิดสมองปลอดโปร่ง ทรงจำตำราโหราศาสตร์ได้ถึง 3 คัมภีร์ เนื้อหนังจะนิ่มนวลดุจเด็ก 6 ขวบ อายุจะยืนถึง 3,000 กว่าปี โรคาพยาธิจะไม่มาเบียดเบียนเลย รับประทานกับน้ำข้าวที่เช็ดไว้ให้เปรี้ยว จะมีเนื้อหนังนิ่มนวลดุจเทพธิดา <br />
<br />
<a name='more'></a><br />
<br />
รับ ประทานกับน้ำมันเนยหรือน้ำผึ้ง จะอายุยืน ท่องโหราศาสตร์ได้ 3 คัมภีร์ รับรองมาตุคามได้ถึง พันคน รับประทานกับนมเปรี้ยว อายุยืน ผมไม่ขาว ฟันไม่หลุด เนื้อหนังไม่ย่น รับประทานกับ ตรีผลา ( มะขามป้อม สมอไทย สมอพิเภก) จักษุที่มัวหรือมีฝ้า แลไม่เห็นก็จะเห็น แช่นมควายทาผม ผมจะงอกดี ผมขาวจะดำ <br />
<br />
ทาผมด้วยน้ำมันงา ผมจะไม่ขาว เนื้อหนังจะไม่ย่น โรคาพยาธิทุกจำพวกจะไม่มีเลย แช่น้ำนมทา คนที่เสียจักษุ โดยมีฝ้าปิด 6 เดือน จะกลับเห็นดีตามเดิม ( อ้างอิงที่ 1 ) <br />
<b><span style="color: #993333;">กวาวเครือแดงกับภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศในผู้ชาย</span></b> <br />
หย่อน สมรรถภาพทางเพศ เป็นคำเรียกรวม ๆ ของกลุ่มอาการที่สมรรถภาพทางเพศผิดปกติออกไปจนทำให้ตนเอง หรือคู่ครอง ไม่ได้รับความสุขในการร่วมเพศ อาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศในผู้ชาย ได้แก่ การที่อวัยวะเพศไม่แข็งตัวหรือแข็งตัวไม่นานพอ การหลั่งเร็ว การไม่ถึงจุดสุดยอด และความเจ็บปวดในขณะร่วมเพศ สาเหตุโดยทั่วไปอาจเกิดจาก ภาวะที่คู่ของตนมีปัญหาหย่อนสมรรถภาพทางเพศ เลยพลอยทำให้ตัวเองมีปัญหาไปด้วย หรืออาจจะเกิดจากการขาดทักษะ รวมไปถึงปัญหาทางจิตใจและร่างกาย เช่น ความเครียด โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง ( อ้างอิงที่ 2 ) <br />
<br />
มีรายงานข่าวเกี่ยวกับภาวะ หย่อนสมรรถภาพทางเพศ พบว่า ภาวะ ไม่แข็งตัว ( อีดี หรือ Erectile Dysfunction ) เป็นข้อมูลที่ถูกถามบ่อยมากที่สุด และพบว่า ปัญหาด้านสุขภาพก็เป็นปัจจัยสำคัญยิ่งที่มีอิทธิพลต่อการเกิด อีดี นอกจากนี้ พฤติกรรมเสี่ยง เช่นการสูบบุหรี่ ก็มีผลกระทบได้เช่นกัน โดยมีข้อมูลในข่าวระบุว่า ชายไทยวัย 40 ปีขึ้นไปกว่า 30 % มีปัญหาหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ( อ้างอิงที่ 2, 3 ) <br />
<br />
มีงานวิจัยสนับ สนุนว่า กวาวเครือแดงช่วยเรื่องระบบสืบพันธ์ในหนูทดลอง โดยมีผลวิจัยว่ามีแนวโน้มทำให้จำนวน sperm มากขึ้น ( อ้างอิงที่ 4 ) และส่งเสริมการแข็งตัวของอวัยวะเพศในหนูทดลองเพศผู้ได้จริง ( อ้างอิงที่ 5 ) และมีความปลอดภัยในระยะยาวด้วย ( อ้างอิงที่ 6, 7 ) สมุนไพรกวาวเครือแดง มีงานวิจัยในคนแล้วว่ามีความปลอดภัย และช่วยสมรรถภาพทางเพศในผู้ป่วยชายไทย ที่เป็นโรค อีดี ( อ้างอิงที่ 8 ) <br />
<br />
ปัจจุบันกวาวเครือแดงชนิดที่รับ ประทาน ได้รับอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนเป็นตำรับยาแผนโบราณ และยาแผนโบราณสามัญประจำบ้าน ถือได้ว่ามีความปลอดภัย โดยเฉพาะเมื่อได้รับอนุญาตจาก อย ให้ขึ้นทะเบียนเป็นยาสามัญประจำบ้านด้วยแล้ว เป็นการแสดงว่า เป็นยาที่สามารถรับประทานเองได้โดยไม่จำเป็นต้องมีใบสั่งจากแพทย์ และการใส่กวาวเครือแดงร่วมกับสมุนไพร เช่น ตรีผลา คือ มะขามป้อม สมอไทย สมอพิเภก ก็มีในตำรับโบราณ ทั้งนี้ ตรีผลา ก็มีความเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปรับสมดุลของร่างกาย การทานร่วมกับกวาวเครือ จึงช่วยให้มีสมดุลที่ดี <br />
<br />
กวาวเครือแดง ไม่ควรรับประทานในผู้ป่วยโรคตับ และถ้าเป็นโรคหัวใจ ควรปรึกษาแพทย์ก่อน <br />
<br />
<b><span style="color: #993333;">เอกสารอ้างอิง</span></b> <br />
1. หลวงอนุสารสุนทร. ตำรายาหัวกวาวเครือ. กรมการพิเศษ เชียงใหม่ โรงพิมพ์อุปะติพงศ์ พฤษภาคม 2474 <br />
2. กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข <a href="http://www.dmh.go.th/1667/1667view.asp?id=3663">http://www.dmh.go.th/1667/1667view.asp?id=3663</a> และ <u><span style="color: blue;"><a href="http://www.dmh.go.th/sty_libnews/news/view.asp?id=777">http://www.dmh.go.th/sty_libnews/news/view.asp?id=777</a></span></u> <br />
3. กระทรวงสาธารณสุข ชายไทยอายุหลักสี่น่าเป็นห่วง 30% หย่อนสมรรถภาพทางเพศ <u><span style="color: blue;"><a href="http://www.moph.go.th/todaynews-show.php?ContentID=14677">http://www.moph.go.th/todaynews-show.php?ContentID=14677</a></span></u> <br />
4. Butea superba Roxb. Enhances penile erection in rats. Tocharus C, Smitasiri Y, Jeenapongsa R. Phytother Res. 2006 Jun;20(6):484-9 <br />
5. Effect of Butea superba on reproductive systems of rats. Manosroi A, Sanphet K, Saowakon S, Aritajat S, Manosroi J. Fitoterapia 2006 Sep;77(6):435-8 <br />
6. พิษเรื้อรังของกวาวเครือแดง. ปราณี ชวลิตธำรง, ทรงพล ชีวะพัฒน์, สมเกียรติ ปัญญามัง, สดุดี รัตนจรัสโรจน์, เรวดี บุตรภรณ์. ประมวลผลงานวิจัยด้านพิษวิทยาของสถาบันวิจัยสมุนไพร เล่ม 2, กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พศ.2546;215-230 <br />
7. The toxicology of Butea superba, Roxb. Pongpanparadon A, Aritajat S, Saenphet K. Southeast Asian J Trop Med Public Health. 2002;33 Suppl3:155-8 <br />
8. Clinical trial of Butea superba, an alternative herbal treatment for erectile dysfunction. Cherdshewasart W, Nimsakul N. Asian J Androl. 2003 Sep;5(3):243-6.<br />
</div>Mongkyhttp://www.blogger.com/profile/03088371074340768744noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5126024383371538952.post-78271530526489472522010-01-05T19:09:00.001+07:002010-01-08T17:45:32.789+07:00กาวเครือขาว<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEir_pUvENPdhzL3lRDpNvxH-dYoWGQG_cJgwUIy2ZYX0tQxxQ6nd49B54mhV-UMhQowZC48-hT1Fi1QGQfsWv59-2tRj952Q6x6gG07nDp1IjG8zaMMTmBl3nrrsH4mcSpqpKQmhlMGJsu4/s1600-h/53-106-large.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEir_pUvENPdhzL3lRDpNvxH-dYoWGQG_cJgwUIy2ZYX0tQxxQ6nd49B54mhV-UMhQowZC48-hT1Fi1QGQfsWv59-2tRj952Q6x6gG07nDp1IjG8zaMMTmBl3nrrsH4mcSpqpKQmhlMGJsu4/s400/53-106-large.jpg" /></a><br />
</div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br />
</div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">กวาวเครือขาว ( Pueraria mirifica ) เป็นสมุนไพรที่กล่าวได้ว่า เป็นราชินีสมุนไพรไทยโดยแท้ มีชื่อเสียงมานานนับร้อยปี สรรพคุณโดยรวมจะเน้นไปใน การทำให้ผู้สูงอายุ โดยเฉพาะสตรีวัยทอง กลับสดชื่น กลับมาเป็นสาว นอกจากนี้ กวาวเครือยังสนับสนุนความเป็นผู้หญิง ไปในทำนองให้สวยงามขึ้น และบำรุงอวัยวะภายใน ไปในทางที่ ส่งเสริมวัยเจริญพันธ์ <br />
</div><br />
<b>สรรพคุณกวาวเครือ ในตำราแพทย์แผนโบราณ</b> <br />
ตำราแผนโบราณได้กล่าวไว้ดังนี้ " คนอ่อนเพลีย ผอมแห้ง แรงน้อย นอนไม่หลับ กินไม่ได้ กินยานี้ 20-30 วัน โรคอ่อนเพลียหายสิ้น นอนหลับสบาย เดินไปมาได้ตามปกติ กวาวเครือบำรุงโลหิต บำรุงสมอง บำรุงกำลัง หญิงอายุ 70-80 ปี กินแล้วอ้วนท้วนสมบูรณ์ กลับมีระดูอย่างสาว นมมีไตแข็งขึ้นอีก ชายกินแล้วนมแตกพานแข็งเหมือนเด็กหนุ่ม มีกล้าม เนื้อหนังเต่งตึง ท่านห้ามเด็กหนุ่มสาวกิน ตำผงกินกับน้ำนมวัว หัวคิดสมองปลอดโปร่ง ทรงจำตำราโหราศาสตร์ได้ถึง 3 คัมภีร์ เนื้อหนังจะนิ่มนวลดุจเด็ก 6 ขวบ อายุจะยืนถึง 3,000 กว่าปี โรคาพยาธิจะไม่มาเบียดเบียนเลย รับประทานกับน้ำข้าวที่เช็ดไว้ให้เปรี้ยว จะมีเนื้อหนังนิ่มนวลดุจเทพธิดา รับประทานกับน้ำมันเนยหรือน้ำผึ้ง จะอายุยืน ท่องโหราศาสตร์ได้ 3 คัมภีร์ จะรับรองมาตุคามได้ถึงพันคน ( น่าจะเป็นกวาวเครือแดง ) รับประทานกับนมเปรี้ยว อายุยืน ผมไม่ขาว ฟันไม่หลุด เนื้อหนังไม่ย่น รับประทานกับตรีผลา (มะขามป้อม สมอไทย สมอพิเภก) จักษุที่มัวหรือมีฝ้า แลไม่เห็นก็จะเห็น แช่นมควายทาผม ผมจะงอกดี ผมขาวจะดำ ทาผมด้วยน้ำมันงา ผมจะไม่ขาว เนื้อหนังจะไม่ย่น โรคาพยาธิทุกจำพวกจะไม่มีเลย แช่น้ำนมทา คนที่เสียจักษุโดยมีฝ้าปิด 6 เดือน จะกลับเห็นดีตามเดิม ( อ้างอิงที่ 1 )<br />
<b><br />
สารสำคัญในกวาวเครือ<br />
</b>สาร สำคัญ ที่พบในกวาวเครือขาวมีมากมาย ที่เด่น ๆ ได้แก่ miroestrol, daidzein, genistin, puerarin, สารต่าง ๆ เหล่านี้หลายชนิดมีคุณสมบัติเป็น ไฟโตเอสโตรเจน (Phytoestrogen) คือเป็นเอสโตรเจนที่ได้จากพืช และออกฤทธิ์เช่นเดียวกับเอสโตรเจนทุกประการ โดยออกฤทธิ์ที่ตัวรับ ( receptor ) เดียวกับเอสโตรเจน สารไฟโตรเอสโตรเจน พบมากในถั่วเหลือง และมีรายงานมากมายว่า สามารถมีฤทธิ์ลดการสร้างอนุมูลอิสระ ( Anti- oxidant ) ซึ่งอาจต้านมะเร็งและช่วยในโรคหัวใจ และมีรายงานว่าการทานธัญพืชและพืชตระกูลถั่วเหลืองสามารถลดอุบัติการณ์ มะเร็งเต้านม ต่อมลูกหมาก และลำไส้ใหญ่ และช่วยให้โรคหัวใจดีขึ้น แต่ทั้งนี้ก็ยังไม่อาจสรุปได้ว่าการใช้กวาวเครือสามารถจะลดมะเร็งหรือ ป้องกันมะเร็ง ได้ แต่ก็มีงานวิจัยว่ากวาวเครือขาวไม่มีผลส่งเสริมต่อการเจริญเติบโตของเซลล์ มะเร็งเต้านมหลายชนิด และยังอาจยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมบางชนิดได้ด้วย<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br />
</div><a name='more'></a><b>ความปลอดภัย<br />
</b>ปัจจุบันกวาวเครือชนิดที่รับประทาน ได้รับอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนเป็นตำรับยาแผนโบราณ และยาแผนโบราณสามัญประจำบ้าน ซึ่งมีกวาวเครือในปริมาณ ประมาณ 100 มก. เป็นที่ยอมรับว่าปลอดภัย ผ่านการวิจัยในความเป็นพิษระยะยาวในหนูทดลองแล้ว ( อ้างอิงที่ 12 ) และการใส่ร่วมกับสมุนไพร เช่น ตรีผลา คือ มะขามป้อม สมอไทย สมอพิเภก ก็มีในตำรับโบราณ ทั้งนี้ ตรีผลา ก็มีความเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปรับสมดุลของร่างกาย การทานร่วมกับกวาวเครือ จึงช่วยให้มีสมดุลที่ดี<br />
<br />
<b>กวาวเครือจึงปลอดภัย ถ้ามีการรับประทานอย่างถูกต้องและเหมาะสม</b> <br />
<b>การรับประทานกวาวเครืออย่างปลอดภัย</b><br />
จะ ต้องมีการตรวจร่างกายที่จำเป็นก่อนการรับประทานได้แก่ ตรวจเต้านม ตรวจการทำงานของตับ และมดลูก ทั้งนี้เพราะกวาวเครือไม่เหมาะในผู้ที่เป็นโรคของเต้านม มดลูกและ ตับ โรคของเต้านมที่เป็นอยู่ก่อนจะห้ามรับประทานกวาวเครือโดยเด็ดขาดทุกชนิดไม่ ว่าจะเป็น ซีสต์ เป็นพังผืด และการตรวจเต้านมยังเป็นการตรวจสกรีนหามะเร็งในเบื้องต้นด้วย นอกจากนี้ก็ควรตรวจมดลูกก่อน เพราะกวาวเครือ ก็ไม่น่าจะเหมาะสมในผู้ที่เป็นโรคในมดลูกทุกชนิดเช่นกัน เช่น พังผืด เนื้องอก รวมทั้งก้อนในมดลูก แม้จะเป็นคนที่ปวดประจำเดือนบ่อย ๆ ก็ไม่ควรรับประทาน <br />
<br />
เมื่อรับประทานกวาวเครือ ควรมีการหยุดทานเป็นระยะในช่วง 7 วันสุดท้ายของแต่ละเดือนเหมือนกับการรับประทานยาคุมกำเนิด เพื่อให้โอกาสมดลูกได้พักและมีประจำเดือนตามปกติ และผู้ที่รับประทานกวาวเครือ ก็ควรได้รับการตรวจภายในและมะเร็งเต้านมเป็นระยะ ตามที่กำหนดไว้เช่น ทุก 6 เดือน หรือ หนึ่งปี<br />
<b>ข้อห้ามของการรับประทานกวาวเครือ</b><br />
1. ผู้ที่เป็นโรคของทรวงอก เช่น เป็นซีสต์ เป็นพังผืด เป็นก้อน เป็นเนื้องอก เป็นมะเร็ง<br />
2. ผู้ที่เป็นโรคของมดลูกและรังไข่ ทุกชนิด ทำนองเดียวกันกับทรวงอก<br />
3. ผู้ที่ดื่มสุรา มีประวัติเป็นโรคตับ เป็นพาหะไวรัสตับอักเสบ บี ซึ่งมีโอกาสเป็นมะเร็งตับสูง<br />
4. ไม่ใช้ในเด็กและสตรีมีครรภ์<br />
5. สตรีวัยเจริญพันธุ์ ควรปรึกษาแพทย์<br />
<b>โดยสรุป</b> กวาวเครือขาวจึงเป็นสมุนไพรที่มีคุณประโยชน์ และมีความปลอดภัยถ้ารู้จักใช้อย่างเหมาะสม ถือป็นสมุนไพรประจำชาติไทยที่มีคุณภาพสูงใคร ๆ ก็สู้ไม่ได้ และเป็นสมุนไพรที่นำชื่อเสียงมาให้ประเทศไทยอย่างแท้จริง<br />
<br />
<b>เอกสารอ้างอิง<br />
</b>1. หลวงอนุสารสุนทร. ตำรายาหัวกวาวเครือ. กรมการพิเศษ เชียงใหม่ โรงพิมพ์อุปะติพงศ์ พฤษภาคม 2474<br />
2.ผลของกวาวขาว ( Pueraria mirifica Sahw et Suvatabandhu ) ต่อยุงก้นปล่อง <br />
( Anopheles dirus Peyton, Harrison ) . Abstract 16th Conference on Science and Techonology of Thailand 25-27 October 1990:16<br />
3. ฤทธิ์ในการคุมกำเนิดของกวาวขาวในหนูขาว. วารสารคณะวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2529-2530: 13-14 ( 2/1 ):75-78<br />
4. ผลของกวาวเครือขาวต่อการสืบพันธ์ของนกพิราบ การประชุมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 18 กรุงเทพ ประเทศไทย 27-29 ตุลาคม 2535:178<br />
5. ผลของสารสกัดสมุนไพรบางชนิดต่อการสืบพันธ์ของหนูขาวเพศเมีย การประชุมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 20 สงขลา ประเทศไทย 19-21 ตุลาคม 2537:280<br />
6. สมุนไพร อาหารเสริม ฮอร์โมน เอกสารประกอบการสัมนาวิชาการ สมุนไพรกับสตรีวัยทอง. ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย ร่วมกับ สถาบันแพทย์แผนไทย 19-20 กรกฏาคม 2542 : 35-417. <br />
7. ภาพรวมงานวิจัยและพัฒนากวาวเครือตั้งแต่อดีต 2524 ถึงปัจจุบัน 2541 : เอกสารประกอบการ สัมมนาวิชาการกวาวเครือ สถาบันแพทย์แผนไทย กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข 1 ธันวาคม 2541:13-25<br />
8. การศึกษาเบื้องต้นเกี่ยวกับกวาวขาวในลูกสุนัข. ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และฝ่ายสัตวแพทย์ กองสาธารณสุข เทศบาลนครเชียงใหม่ เชียงใหม่<br />
9. พิษของกวาวเครือขาว ( Pueraria mirfica ) ต่อนกกระทาพันธ์ญี่ปุ่น. วารสารคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2527; 11 ( 1-2 ) :46-55<br />
10. อิทธิพลของกวาวเครือขาว ต่อนกกระทา การสร้างเม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาว วารสารเทคนิคการแพทย์เชียงใหม่ 2535; 25(3):107-14<br />
11. การศึกษาผลของกวาวขาวที่มีต่ออวัยวะสืบพันธ์ต่อมหมวกไต ตับ และพฤติกรรมการสืบพันธุ์ในหนุขาวเพศผู้ วิทยานิพนธ์วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2527<br />
12. พิษวิทยาของกวาวเครือขาว. ประมวลผลงานวิจัยด้านพิษวิทยา ของสถาบันวิจัยสมุนไพร เล่ม 2 กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พิมพ์ครั้งที่ 1 ธันวาคม 25<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br />
</div>Mongkyhttp://www.blogger.com/profile/03088371074340768744noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5126024383371538952.post-57607301731494120862009-12-30T11:15:00.001+07:002009-12-30T11:17:14.488+07:00น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส Primrose oil<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi35F44Ic6nwVqxQkquVH-ZadSjoaaL6iI0NNRdAHpSUjZOdlTN_Pyg2COkkmEVtXoc852PPO91kt4JahIBr2-AE-1X9Op70CQBEDLL42lOUB45Rf6RefdkMUd8JfTpA6CJ4eIi3A5ZkJHV/s1600-h/EveningPrimrose.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi35F44Ic6nwVqxQkquVH-ZadSjoaaL6iI0NNRdAHpSUjZOdlTN_Pyg2COkkmEVtXoc852PPO91kt4JahIBr2-AE-1X9Op70CQBEDLL42lOUB45Rf6RefdkMUd8JfTpA6CJ4eIi3A5ZkJHV/s320/EveningPrimrose.jpg" /></a><br />
</div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br />
</div><div class="separator" style="clear: both; text-align: left;"><br />
</div>น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสคืออะไร<br />
พริม โรส (Primrose) มีถิ่นกำเนิดอยู่ในลาตินอเมริกา เป็นพืชในเขตหนาว ลำต้นสูง มีดอกสีเหลืองกลีบบาง ลักษณะของดอกจะเป็นก้านและดอกจะมีลักษณะแผ่กว้าง ในฝักของดอกพริมโรส (Primrose) จะมีเมล็ดสีน้ำตาล และมีน้ำมันชนิดหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส ออยส์ (Evening Primrose Oil) อยู่ในเมล็ด ซึ่งน้ำมันดังกล่าวนี้มีสารประกอบสำคัญ คือ กรดไขมันจำเป็นไม่อิ่มตัว (Essential Fatty Acid) ที่ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ ชนิดโอเมก้า 6 ได้แก่ กรดไลโนเลอิก (Linoleic - LA) และกรดแกมมาไลโนเลนิก (Gamma Linolenic acid – GLA) ซึ่งทำหน้าที่เป็นองค์ประกอบหลักของเยื่อหุ้มเซลล์ (Cell membrane) มีคุณสมบัติในการป้องกันการสูญเสียน้ำของเซลล์ผิวหนัง ผิวจึงคงความชุ่มชื่น สดใส เปล่งปลั่ง และมีน้ำมีนวล<br />
<a name='more'></a><br />
LA ใน น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส จะถูกร่างกายเปลี่ยนเป็น GLA โดยเอนไซม์ 6-Desaturase ซึ่ง GLA นี้เป็นสารตั้งต้นในกระบวนการสร้างพรอสตาแกลนดิน 1 (Prostaglandin E1 – PGE1) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่มีบทบาทช่วยให้ร่างกายเกิดความสบาย ตลอดจนป้องกันโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ อาทิ ช่วยลดการอักเสบ ป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด ความดันดลหิตสูง บรรเทาอาการแทรกซ้อนจากโรค เบาหวาน และที่สำคัญที่สุด คือ รักษาอาการผิดปกติก่อนมีประจำเดือน<br />
<br />
ประโยชน์ของน้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส<br />
จาก การที่ น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส อุดมไปด้วย GLA ทำให้มันมีคุณสมบัติที่ดีในการรักษา โดยจะเปลี่ยนรูปเป็น พรอสตาแกลนดิน ที่มีคุณสมบัติคล้ายฮอร์โมนในการช่วยให้หน้าที่ต่างๆ ในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น นอกจากนี้มันยังมีคุณสมบัติในการต้านอาการอักเสบที่ดีด้วย<br />
<br />
น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสต่ออาการปวดประจำเดือนและอาการก่อนและหลังประจำเดือน<br />
อาการ ที่เกิดขึ้นร่วมกันกับการมีประจำเดือน อันได้แก่ อาการปวดศรีษะ ปวดเมื่อยตามตัว อ่อนเพลีย วิงเวียนศรีษะ ปวดหลัง รวมถึงอาการคัดหน้าอก เป็นอาการที่สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้หญิงเป็นอย่างมาก เป็นผลจากการบริโภคอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวมากเกินไป ทำให้ไขมันถูกเปลี่ยนเป็นฮอร์โมนเอสโตรเจนเพิ่มมากขึ้นในเนื้อเยื่อมดลูก ส่งผลให้มดลูกบีบตัวมากกว่าปกติ ทำให้อาการปวดท้องในขณะที่มีประจำเดือนเกิดขึ้น นอกจากนี้กรดไขมันอิ่มตัวที่มากเกินไปจะทำให้ฮอร์โมนโปรแลคตินเพิ่มมากขึ้น ซึ่งฮอร์โมนชนิดนี้จะทำให้เกิดอาการคัดหน้าอก และทำให้เลือดออกมาก เป็นผลให้เพิ่มการบีบตัวของเลือดในมดลูก ทำให้มีอาการปวดประจำเดือนมากด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ฮอร์โมนโปรแลคตินยังทำให้เกิดอาการต่างๆ เช่น ปวดศรีษะ ปวดหลัง ปวดเมื่อยรวมถึงอาการอ่อนเพลียขณะมีประจำเดือน<br />
<br />
การบริโภค น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส ซึ่งมีกรดแกมมา ไลโนเลนิก (GLA) สามารถช่วยลดอาการปวดประจำเดือน อาการก่อนและหลังประจำเดือน อาการคัดหน้าอก ลงได้ โดยต้องบริโภคทุกวัน ไม่ใช่บริโภคเฉพาะในขณะที่เป็นประจำเดือน เพราะร่างกายต้องการเวลาในการสร้างพรอสตาแกลนดิน 1(Prostaglandin E1 – PGE1) เพื่อให้ช่วยลดอาการปวดให้ลดลง<br />
<br />
-น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส กับ โรคเยื่อบุมดลูกอยู่ผิดที่<br />
ตาม ปกติ เยื่อบุมดลูกอยู่ในโพรงของมดลูกเป็นเนื้อเยื่อที่ตอบสนองต่อระดับของฮอร์โมน เพศเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน เมื่อถึงรอบเดือนเยื่อบุมดลูกจะหนาตัวขึ้น เพราะถูกฮอร์โมนเพศกระตุ้นแต่พอฮอร์โมนเพศลดระดับลง เยื่อบุมดลูกจะสลายตัวออกจากโพรงมดลูก หลุดออกมาเป็นประจำเดือนเมี่อออกมาหมดแล้ว และมีฮอร์โมนเพศมากระตุ้นอีก เยื่อบุมดลูกจะหนาขึ้นเหมือนเดิม และเมื่อระดับฮอร์โมนเพศลดลงก็จะออกมาเป็นประจำเดือนของเดือนถัดไป<br />
<br />
แต่ ในบางครั้งเยื่อบุมดลูกเกิดอยู่ผิดที่ กล่าวคือ ไม่อยู่ในโพรงมดลูก แต่กลับไปอยู่ที่ รังไข่บ้าง ช่องเชิงกรานบ้าง ดังนั้น เมื่อฮอร์โมนเพศมีระดับสูง เยื่อบุมดลูกที่อยู่ผิดที่จะหนาขึ้น และเมื่อระดับฮอร์โมนเพศลดลงก็จะออกมาเป็นเลือด แต่เลือดที่ออกมานี้จะระบายออกมาทางช่องคลอดเช่นเยื่อบุมดลูกที่อยู่ในโพรง มดลูกไม่ได้ เลือดที่ออกมาจะถูกขังอยู่เป็นถุงน้ำหรือซีสต์ ในรังไข่บ้าง ช่องเชิงกรานบ้าง ซึ่งถ้าก้อนมีขนาดใหญ่ก็อาจจะต้องทำการผ่าตัด ดังนั้นกรดไขมันจำเป็น ซึ่งก็คือ กรดแกมมา ไลโนเลนิก (GLA) ที่มีอยู่ในน้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสจึงมีบทบาทต่อโรคเยื่อบุมดลูกอยู่ผิดที่ เป็นอย่างมาก กล่าวคือ กรดแกมมา ไลโนเลนิก ถูกเอาไปสร้างพรอสตาแกลนดิน 1(Prostaglandin E1 – PGE1) สามารถบรรเทาอาการอักเสบของก้อนเนื้อได้ ทำให้อาการปวดลดลง<br />
<br />
น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสกับโรคไขข้ออักเสบ<br />
ไขข้อ อาจมีโอกาสอักเสบได้ เนื่องจากการใช้งาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้อเข่า ข้อเท้า ข้อมือ ข้อนิ้ว ที่ทำงานหนัก แต่การซ่อมสร้างต้องกระทำอย่างรวดเร็ว เมื่อมีอายุมากขึ้น ความสามารถในการซ่อมสร้างอาการอักเสบของข้อต่างๆของร่างกายนั้นลดน้อยลง จึงเกิดอาการอักเสบและมีอาการปวดข้อในผู้สูงอายุได้ นอกจากนี้ยังมีโรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์ ซึ่งเป็นโรคไขข้ออักเสบหลายๆข้อทั่วร่างกาย เกิดจากภูมิต้านทานไวเกินและมาทำร้ายเนื้อเยื่อของไขข้อและเนื้อเยื่อรอบข้อ ในผู้ป่วยที่เป็นโรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์นี้ จะมีระดับพรอสตาแกลนดิน 1(Prostaglandin E1– PGE1) ที่รักษาอาการอักเสบต่ำมาก แต่มีระดับพรอสตาแกลนดิน 2 ที่ก่อให้เกิดอาการอักเสบและจ็บปวดมากกว่าปกติ<br />
<br />
โดย ปกติ การรักษาอาการอักเสบของข้อเป็นหน้าที่ของพรอสตาแกลนดิน 1 (Prostaglandin E1 – PGE1) ซึ่งมีอยู่ใน น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส จะทำหน้าที่คอยบรรเทาอาการอักเสบและอาการบวมรอบข้อลงได้<br />
<br />
จากการ ศึกษาทดลองใช้ในผู้ป่วยเป็นเวลานาน 6 เดือน พบว่าผู้ป่วยที่รับประทาน น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส จะให้ผลลดอาการปวดและอักเสบตามไขข้อได้ดีกว่ายาหลอกอย่างชัดเจน<br />
<br />
น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสกับโรคเบาหวาน<br />
น้ำ มันอีฟนิ่งพริมโรส สามารถช่วยป้องกันอาการเซลประสาทถูกทำลายจากโรค เบาหวาน จากการวิจัยได้ชี้ให้เห็นว่า GLA ใน อีฟนิ่งพริมโรส สามารถช่วยป้องกันอาการดังกล่าวได้ และในบางรายยังสามารถทำให้เซลประสาทคืนกลับมาเหมือนเดิมได้ด้วย อาการปลายประสาทอักเสบ (neuropathy) นั้นจะพบได้บ่อยในผู้ป่วยโรค เบาหวาน จากการศึกษาที่นานนับปี มีผลวิจัยออกมาว่าอาการชาตามปลายประสาท อาการเจ็บปวดแปลบๆ และอาการสูญเสียความรู้สึกในผู้ป่วย เบาหวาน จะลดน้อยลงจากชัดเจนในรายที่รับประทาน น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส กว่าผู้ที่ไม่ได้รับประทาน<br />
<br />
น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสกับปัญหาโรคอื่นๆ<br />
-น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส กับผื่นแพ้และกลากน้ำนม<br />
ผู้ ที่มีอาการของผื่นแพ้ โดยเฉพาะในเด็กที่เป็นกลากน้ำนม ร่างกายไม่สามารถเปลี่ยนกรดไขมันโอเมก้า 6 ชนิดกรดไลโนเลอิก (Linoleic - LA) ให้เป็นกรดแกมมา ไลโนเลนิก (GLA) ได้ หรือถ้าเปลี่ยนได้ก็เปลี่ยนได้น้อย ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เนื่องจากขาดเอนไซม์ในปฏิกิริยาชีวเคมีบางชนิด<br />
<br />
หากเด็กจำเป็นต้องกิน นมวัวและทำให้เกิดกลากน้ำนม เนื่องจากในนมวัวมีกรดไขมันชนิด กรดไลโนเลอิก (Linoleic - LA) ซึ่งเด็กส่วนหนึ่งไม่มีเอนไซม์บางตัว จึงไม่สามารถเปลี่ยนกรดไขมันดังกล่าวให้เป็นพรอสตาแกลนดิน 1(Prostaglandin E1 – PGE1) แบบนมแม่ได้ จึงเกิดอาการแพ้ขึ้น ดังนั้น น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส จึงช่วยลดอาการแพ้นี้ได้ โดยการทาที่ผิวหนังเพื่อให้น้ำมันซึมผ่านเข้าไป<br />
<br />
-น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส กับผิวพรรณ<br />
ช่วย บำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื่น ปรับสภาพผิวที่แห้งกร้านให้กลับดูนุ่มนวลสดใส ลดริ้วรอยและความหมองคล้ำของผิวพรรณ ช่วยลดการเกิดสิวอุดตัน ตลอดจนช่วยรักษาอาการผิดปกติทางผิวหนัง เช่น ผิวหนังแห้ง รวมถึงอาการผมร่วง มีรังแค และเล็บเปราะได้<br />
<br />
นอกจากนี้ยังช่วยรักษาอาการโรคเรื้อนกวาง (eczema) ซึ่งทำให้ผู้ป่วยโรคนี้มีอาการลดลงสามารถปริมาณการใช้ยากลุ่มสเตียรอยด์ลงไป<br />
<br />
-น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส กับ โรคความดันโลหิตสูง<br />
โรค ของหลอดเลือดอันเกิดจากไขมันในเลือดสูง ทำให้หลอดเลือดแข็งตัวและเสียความยืดหยุ่น แรงดันเลือดในหลอดเลือดเพิ่มสูงขึ้นจากความแข็งของเลือด อันเป็นสาเหตุสำคัญของโรคความดันโลหิตสูง การที่หลอดเลือดเพิ่มแรงต้านทานในการไหลของหลอดเลือดจะส่งผลกระทบต่อหัวใจ กล่าวคือ จะต้องออกแรงบีบไล่เลือดไปตามหลอดเลือดที่แข็งตัวแรงกว่าเดิม เป็นเหตุให้ความดันโลหิตเพิ่มตาม<br />
<br />
กรดไขมันจำเป็น คือ กรดแกมมา ไลโนเลนิก (GLA) ใน น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสสามารถลดความดันโลหิตลงได้<br />
<br />
-น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส กับ โรคหัวใจ<br />
โรค หัวใจ เกิดจากไขมันในเลือดสูง ทำให้เกิดการอุดตันในหลอดเลือด หลอดเลือดมีขนาดรูแคบลง ทำให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่เพียงพอและเกิดอาการแน่นหน้าอก ปวดในหน้าอก จนกระทั่งหัวใจวายได้ใน น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส มีกรดโอเมก้า 6 ช่วยป้องกันไม่ให้เลือดจับตัวกันเป็นก้อน ป้องกันไม่ให้เกิดตะกอนของไขมันในหลอดเลือด และป้องกันโรคหัวใจได้<br />
<br />
-น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส กับ โรคไต<br />
ผู้ ป่วยที่ป่วยเป็น โรคไต บางรายที่กินยาบางตัว หรือได้รับสารพิษบางตัว ซึ่งสารเคมีดังกล่าว มักจะไปยับยั้งการสร้างฮอร์โมนพรอสตาแกลนดิน 1 (Prostaglandin E1 – PGE1) แล้วทำให้ไตเสียตามมา การบริโภคกรดไขมันจำเป็นโอเมก้า 6 ชนิด GLA จะสามารถถนอมรักษาไตให้คงสภาพปกติได้นานเนื่องจากการบริโภคน้ำมันอีฟนิ่ง พริมโรสเข้าไป จะทำให้ร่างกายสร้างฮอร์โมนพรอสตาแกลนดิน 1 (Prostaglandin E1 – PGE1) ได้มากขึ้น ส่งผลให้สามารถแก้ไขความเสียหายของไตที่เกิดขึ้นให้กลับคืนสู่ปกติได้<br />
<br />
-น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส กับ โรคจิตใจ<br />
โรค จิตเภท (Schizophrenia) เกิดขึ้น เนื่องจากมีความผิดปกติทางชีวเคมีในสมองของผู้ป่วย ทำให้เกิดอาการทางสมอง คือ ควบคุมตนเองไม่ได้ ซึมเศร้า ทำอะไรไม่รู้ตัว ประสาทหลอน ซึ่งอาการดังกล่าวนักวิทยาศาสตร์คาดว่า อาจเป็นเพราะร่างการขาดกรดไขมันจำเป็น ชนิด กรดแกมมา ไลโนเลนิก (GLA) และมีฮอร์โมนพรอสตาแกลนดิน 1 (Prostaglandin E1 – PGE1) ไม่เพียงพอรวมทั้งยังมีกรดไขมันจำเป็นชนิด กรดไลโนเลอิก (Linoleic - LA) น้อยกว่าปกติ ดังนั้น การบริโภค น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส จะทำให้เพิ่มกรดไขมันจำเป็น ส่งผลให้ลดอาการทางจิตใจได้<br />
<br />
-น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส กับ โรคอัลไซเมอร์<br />
โรค อัลไซเมอร์ เป็นโรคความจำเสื่อม มักจะเกิดกับผู้สูงอายุ มีอาการหลงลืม โดยสูญเสียความทรงจำเกี่ยวกับปัจจุบันไป แต่สามารถจำอดีตได้ การที่ผู้สูงอายุสูญเสียความทรงจำไปนี้เพราะขาดกรดไขมันจำเป็น ผลก็คือ เม็ดเลือดแดงจะมีเยื่อหุ้มเซลล์แข็งขึ้นกว่าเดิม ทำให้จับออกซิเจนได้ลดลง เป็นผลให้สมองได้รับเลือดไปเลี้ยงน้อยกว่าปกติ จึงเกิดอาการหลงลืม การบริโภค น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส เข้าไป สามารถเพิ่มกรดแกมมา ไลโนเลนิก (GLA) จะทำให้เม็ดเลือดแดงกลับคืนสู่สภาพปกติ กล่าวคือ สมองได้รับออกซิเจนไปเลี้ยงเพิ่มมากขึ้น อาการดังกล่าวข้างต้นก็จะทุเลาลง<br />
<br />
-น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส กับ โรค ไข้หวัด<br />
หลัง จากการติดเชื้อไวรัส เช่น ไข้หวัด ร่างกายจะอ่อนเพลียเสมอ ทั้งนี้เพราะการติดเชื้อหวัดจะกระทบต่อการดูดซึมกรดไขมันจำเป็นชนิดกรดไลโน เลอิก (Linoleic - LA) เข้าสู่ร่างกาย อีกทั้งยังยับยั้งการเปลี่ยนกรดไลโนเลอิก (Linoleic - LA) ไม่ให้เป็นกรดแกมมา ไลโนเลนิก (GLA) อีกด้วย<br />
ในขณะที่เป็นหวัด ร่างกายจึงขาดกรดไขมันในกลุ่มโอเมก้า 6 อย่างรุนแรงทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยตามเนื้อตัว และเกิดอาการอ่อนเพลียอย่างรุนแรง ซึ่งการบริโภค น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส จะสามารถบรรเทาอาการหวัดลงได้<br />
<br />
-น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส กับ โรคตับเรื้อรัง<br />
ผู้ ป่วยโรคตับเรื้อรัง จะมีกรดไขมันจำเป็นในเลือดผิดปกติ โดยมีกรดชนิด กรดไลโนเลอิก (Linoleic - LA) สูงผิดปกติ แต่เมตาโบไลต์ชนิดอื่นในปฏิกิริยาเคมีอยู่ในระดับต่ำ แสดงว่าร่างกายของผู้ป่วยโรคตับเรื้อรังไม่สามารถเปลี่ยน กรดไลโนเลอิก (Linoleic - LA) ให้กลายเป็นกรดแกมมา ไลโนเลนิก (GLA) ดังนั้นฮอร์โมนพรอสตาแกลนดิน 1 (Prostaglandin E1 – PGE1) จึงมีระดับต่ำ ทำให้โรคตับมีอาการกำเริบขึ้น เพราะภูมิต้านทานจะต่ำลง อาการอักเสบมีมากขึ้น เม็ดเลือดขาวทำงานไม่ดี การบริโภค น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส จะสามารถบรรเทาอาการโรคตับลงได้<br />
<br />
ปริมาณที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน<br />
ปริมาณ ที่แนะนำของจำนวนของกรดไขมัน GLA ที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันนั้น คือ 240 มิลลิกรัมต่อวัน ดังนั้นปริมาณที่แนะนำของ น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส สำหรับรักษาอาการต่างคือ รับประทานครั้งละ 1,000 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้ง ซึ่งจะเทียบเท่ากับปริมาณ GLA 240 มิลลิกรัมตามที่ต้องต่อวัน<br />
<br />
สำหรับ ผู้ป่วย เบาหวาน: ปริมาณที่แนะนำให้รับประทานคือ ครั้งละ 1,000 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้ง ร่วมกับรับประทาน น้ำมันปลา (Fish Oil) อีกครั้งละ 1,000 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง<br />
<br />
ข้อแนะนำในการรับประทาน<br />
<br />
-รับประทาน น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส พร้อมอาหารเพื่อลดอาการข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้น<br />
<br />
-เพื่อ ให้ได้ผลดีในการใช้ในการรักษาอาการปวดประจำเดือน ดังนั้นเพื่อให้ น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส เปลี่ยนเป็น GLA ได้ดีควรรับประทานร่วมกับ Multivitamin (ควรจะประกอบไปด้วย zinc, vitamin C, vitamin B-complex vitamins และ magnesium)<br />
<br />
-ในรายที่ต้องการผลด้าน ผิวหนัง ผม และเล็บ อาจจะต้องใช้เวลา 2-6 เดือนกว่าจะเห็นผล<br />
<br />
อาการข้างเคียง<br />
ถึง แม้ว่า น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส จะให้คุณประโยชน์ มากมาย แต่สำหรับผู้บริโภคบางรายที่รับประทานเข้าไปแล้ว อาจจะเกิดอาการข้างเคียงได้ อาทิ<br />
<br />
-อาการคลื่นไส้ ท้องอืดเฟ้อ<br />
<br />
-อาการปวดศรีษะ<br />
<br />
-อาการผื่นแพ้<br />
<br />
-อาการลมชักกำเริบ<br />
<br />
ใน ยุคปัจจุบันนี้ ผู้บริโภคส่วนใหญ่จะบริโภคกรดไขมันอิ่มตัวจากการกินเนื้อสัตว์ นม ช็อกโกแลตมากเกินไป จนกระทั่งกรดไขมันอิ่มตัวเข้าไปแทนที่กรดไขมันจำเป็น ทำให้ร่างกายได้รับกรดไขมันจำเป็นชนิดโอเมก้า 6 ไม่เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายอยู่ในสภาวะที่สมดุล และช่วยป้องกันและบรรเทาอาการของโรคต่างๆ ดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น ดังนั้นจึงควรบริโภค น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส เพื่อให้ร่างกายเปลี่ยน กรดไลโนเลอิก (Linoleic - LA) เป็น กรดแกมมา ไลโนเลนิก (GLA) ทำให้ร่างกายมีสุขภาพดีในที่สุด <br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;"><br />
</div>Mongkyhttp://www.blogger.com/profile/03088371074340768744noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5126024383371538952.post-83537039108823885482009-12-30T11:05:00.001+07:002009-12-30T11:07:39.655+07:00กรดผลไม้ AHA (Alphahydroxy acid)<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi-f1Yc8m3htCrvSmykcbrQrsS5VkwLcgpeatFlTSlYELPVE5g2vIt1ib6waupz-61WxnCOCH_Po0t5phM47Dvqn2YbSgjZaNOuvgn4yI4-fwUpUgZWiHSq80kmaYjo-JeBsT3_yRGWo7yA/s1600-h/tips84_clip_image001.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi-f1Yc8m3htCrvSmykcbrQrsS5VkwLcgpeatFlTSlYELPVE5g2vIt1ib6waupz-61WxnCOCH_Po0t5phM47Dvqn2YbSgjZaNOuvgn4yI4-fwUpUgZWiHSq80kmaYjo-JeBsT3_yRGWo7yA/s400/tips84_clip_image001.jpg" /></a><br />
</div> <br />
กรดผลไม้หรือ AHA ซึ่งย่อมาจาก Alpha Hydroxy Acid เป็นกรดที่ได้มาจากหลายอย่าง มีฤทธิ์ทำให้ผิวลอกเล็กน้อย กรดเหล่านี้ส่วนใหญ่มาจากผลไม้ จึงเรียกง่ายๆ กันว่า กรดผลไม้หรือ fruit acid นอกจากนั้นก็ยังพบ AHA ในขิง อ้อย นม น้ำมะเขือเทศ และเหล้าไวน์ และยังสามารถผลิต AHA ในห้องปฏิบัติการด้วย<br />
<br />
กรดผลไม้ที่รู้จักกันดีที่สุดคือ กรดไกลคอลิก (Glycolic acid) ซึ่งเตรียมได้จาก น้ำอ้อยและองุ่นดิบ ที่รู้จักรองลงมาคือกรดแล็คติก (lactic acid) ซึ่งมาจากน้ำมะเขือเทศ และนมเปรี้ยว นอกจากนั้นก็ยังมีกรดผลไม้ที่เตรียมจากแอปเปิลคือกรดมาลิก (Malic acid) เตรียมจากองุ่นและไวน์คือ กรดตาร์ตาริก (Tartaric acid) และเตรียมจากส้มและสับปะรดคือ กรดซิตริก (Citric acid)<br />
<br />
กรดผลไม้ที่รู้จักกันดีที่สุดและมีงานวิจัยต่อเนื่องกันมานานนับ 20 ปี คือ กรดไกลคอลิก และกรดแล็คติก จึงแนะนำให้ใช้กรดพวกนี้เพราะรู้จักกันมานานแล้ว<br />
<br />
<br />
<a name='more'></a><br />
<br />
ทำไมกรดผลไม้จึงช่วยให้ผิวสวย<br />
<br />
กรดผลไม้ออกฤทธิ์โดยการซึมผ่านผิวหนังชั้นขี้ไคลลงไป และทำให้เซลล์ผิวหนังชั้นนี้ หลุดลอกจากกัน ทำให้ผิวสดใสและผิวหนังด้านล่างจะงอกขึ้นมาใหม่ได้ บางครั้งเมื่อทากรดผลไม้ อาจเกิดอาการแสบคันหรือผิวแดงซึ่งจะหายไปใน 20 นาที แต่ถ้าอาการเหล่านี้ไม่หาย ก็ให้หยุดการใช้เครื่องสำอางประเภทนี้จนผิวหายเป็นปกติ แล้วถ้าอยากลองใช้เครื่องสำอาง กลุ่มนี้ใหม่ก็ให้ใช้ชนิดที่มีความเข้มข้นของกรดผลไม้ต่ำกว่าเดิม<br />
<br />
มีงานวิจัยของมหาวิทยาลัยโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา โดยแพทย์ผิวหนังใช้กรด AHA ความเข้มข้นร้อยละ 12 ทาผิวหนังบนใบหน้าซีกเดียวของอาสาสมัคร 21 ราย โดยทายา วันละ 2 ครั้ง เมื่อเวลาผ่านไป 8 สัปดาห์ นักวิจัยสรุปว่าผิวหนังด้านที่ทายา AHA ในอาสาสมัคร 18 ราย นุ่มและเนียนขึ้นเล็กน้อย และผิวหนังด้านที่ทายาในอาสาสมัคร 15 ราย มีริ้วรอยเหี่ยวย่นจางลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับด้านที่ไม่ได้ทายา และพบว่า อาสาสมัคร 17 ใน 21 รายนี้ขอใช้กรดผลไม้ต่อไปเมื่อสิ้นสุดการทดลองแล้ว นอกจากนั้นยังมีงานวิจัยแสดงว่ากรดผลไม้ช่วยให้ฝ้าและกระ ตลอดจนรอยด่างดำ ของใบหน้าจางลงได้บ้างและยังช่วยรักษาสิวได้<br />
<br />
ส่วน BHA หรือ beta hydroxy acid ตัวที่สำคัญที่สุดคือ กรดซาลิซิลิก (salicylic acid) ซึ่งได้จากเปลือกต้นไม้ เชื่อว่า BHA ก็ช่วยให้ผิวใสขึ้นได้บ้าง และยังอาจรักษาสิวได้ สำหรับกรดซาลิซิลิกนี้ ถ้าใช้ในความเข้มข้นสูงนำมาใช้รักษาหูดและตาปลา<br />
<br />
การใช้กรดผลไม้และทำให้ผิวหน้าลอกบ่อยๆ นี้ ในทางตรงข้ามอาจก่ออันตรายต่อผิวหนัง เพราะเซลล์ชั้นนอกสุดหลุดลอกออกไป ทำให้ผิวได้รับผลเสียจากรังสียูวีในแสงแดด ผู้ที่ใช้กรดผลไม้จึงต้องทายากันแดดและหลบเลี่ยงการโดนแสงแดดจัด<br />
<br />
วิธีเลือกเครื่องสำอางผสมกรดผลไม้<br />
<br />
เมื่อเลือกซื้อเครื่องสำอางประเภท AHA และ BHA ผู้บริโภคต้องทราบ 2 เรื่องนี้ เรื่องแรกคือ ความเข้มข้นของตัวกรดและเรื่องที่ 2 คือ ค่ากรดด่าง (pH) ของผลิตภัณฑ์นั้น<br />
<br />
เครื่องสำอาง AHA ส่วนใหญ่มีความเข้มข้นของกรด AHAตั้งแต่ร้อยละ 1-15 ความเข้มข้นของ AHA ที่ต่ำที่สุดที่ทำให้ผิวลอกได้ คือร้อยละ 4 ถ้าความเข้มข้นสูงถึงร้อยละ 8-15 ผิวจะลอกมาก และอาจทำให้ผิวระคายเคือง<br />
<br />
สำหรับค่าความเป็นกรดด่างนี้ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีค่าความเป็นกรดด่างระหว่าง 3-5 ถ้าค่าต่ำกว่านี้ผลิตภัณฑ์จะมีฤทธิ์เป็นกรดมากและทำให้ระคายเคืองสูง ถ้าค่า pH สูง ผลิตภัณฑ์จะมีฤทธิ์เป็นด่าง ทำให้ผิวไม่ลอก คือใช้แล้วก็ไม่ได้ผลนั่นเอง ก่อนซื้อควรดูฉลาก เพื่อตรวจสอบส่วนผสม ถ้าพบว่าชื่อของ AHA เป็นส่วนผสมที่อยู่ท้ายๆ ของรายชื่อสารเคมีทั้งหมด อาจแสดงว่าผลิตภัณฑ์ยี่ห้อนั้นมีส่วนผสมของ AHA น้อยเกินไปจนไม่ออกฤทธิ์ ในทางตรงข้าม ถ้าชื่อของ AHA ปรากฏเป็นอันดับแรกของรายชื่อ ก็แสดงว่าอาจมี AHA สูงเกินไป จึงควรปลอดภัยไว้ก่อนด้วยการเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีชื่อ AHA เป็นลำดับรองหรือกลางบัญชีรายชื่อ ถ้าผลิตภัณฑ์ใดมีส่วนผสมของทั้ง AHA และ BHA ก็ต้องแน่ใจว่าทั้ง 2 นี้ไม่ได้มีความเข้มข้นมาก ด้วยกันทั้งคู่ เพราะจะยิ่งเสริมฤทธิ์ทำให้ผิวระคายเคืองมาก เนื่องจากกรดผลไม้ทำให้ผิวลอก และระคายเคืองได้ง่าย จึงต้องเลือกผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีแอลกอฮอล์ผสมอยู่มากเพราะจะยิ่งทำให้ ผิวระคายเคือง ควรเลือกซื้อกระปุกที่เล็กที่สุดมาลองใช้ดูก่อน ถ้าเป็นไปได้ลองเตรียม กระปุกสะอาดไปเองและขอแบ่งผลิตภัณฑ์มาลองใช้ดูก่อน ขั้นแรกอาจลองทาดู ที่ท้องแขนสัก 1 สัปดาห์ ถ้าผิวไม่แดงไม่ลอกจึงค่อยลองใช้กับใบหน้า<br />
<br />
เมื่อเริ่มใช้เครื่องสำอางกลุ่มนี้ ต้องจำไว้ว่าผิวจะลอกและระคายเคืองง่ายอยู่แล้ว จึงต้องงดเว้นการใช้สบู่ที่ผสมเม็ดขัดถูใบหน้า งดการใช้ผ้าขนหนู ฟองน้ำ ใยบวบ หรือสิ่งใดๆ ก็ตามมาขัดถูใบหน้า<br />
<br />
เครื่องสำอางกรดผลไม้มีหลายรูปแบบได้แก่ ครีม เจล และโลชั่น ถ้ามีผิวแห้ง แนะนำให้ใช้ในรูปของครีม แต่ถ้าผิวมันอาจลองใช้เจรหรือโลชั่น ในคนผิวปกติทั่วไป แนะนำให้ใช้ AHA เริ่มต้นที่ความเข้มข้นร้อยละ 7-8 ทาต่อเนื่องกัน 4-6 สัปดาห์ แล้วจึงอาจใช้ความเข้มข้นสูงกว่านี้<br />
<br />
<br />
ข้อควรปฏิบัติในการใช้เครื่องสำอางกรดผลไม้ (AHA)<br />
<br />
1. ทำความสะอาดผิวหน้างให้หมดจดก่อนทาเครื่องสำอาง ล้างคลีนเซอร์ให้เกลี้ยงเกลา เพราะถ้ายังมีตกค้างจะต้านฤทธิ์ของกรดผลไม้<br />
<br />
2. หลังล้างหน้ารอให้หน้าแห้งก่อน 15 นาที แล้วจึงทาเครื่องสำอางนี้ เพราะถ้าผิวเปียกชื้นแล้วทาเครื่องสำอางกรดผลไม้ ผิวจะระคายเคืองได้ง่าย<br />
<br />
3. ค่อยๆ ป้ายเนื้อครีมทีละขนาดเท่าเม็ดถั่ว เกลี่ยเบาๆ ไม่ต้องนวด ไม่ต้องดึง ไม่ต้องดันผิวหนัง ครีมจะซึมและแห้งไปเอง<br />
<br />
4. ทาเครื่องสำอางนี้เริ่มต้นวันละ 1 ครั้งก่อนนอน ถ้าผิวแห้งหรือลอกมาก อาจลดมาเป็นทาวันเว้นวัน ถ้ายังลอกอยู่อาจต้องใช้ชนิดที่มีความเข้มข้นต่ำกว่านี้<br />
<br />
5. ถ้าทาเครื่องสำอางครบ 4-6 สัปดาห์แล้ว ผิวยังไม่และดูดีขึ้น และไม่มีปัญหาผิวแห้งและระคายเคือง อาจเพิ่มการทาครีมเป็นวันละ 2 ครั้ง หรือใช้ชนิดที่มีความเข้มข้นสูงกว่านี้<br />
<br />
6. ต้องใช้ยากันแดดร่วมไปด้วย โดยเป็นยากันแดดที่มี SPF อย่างต่ำ 15<br />
<br />
7. ปัจจุบันมีเครื่องสำอางกรดผลไม้ผลิตแยกเป็นส่วนๆ ของร่างกาย เช่นใช้ทารอบตา รอบคอ ลำคอ ต้นขา เท้า และเล็บโดยเฉพาะ ซึ่งไม่จำเป็นและสิ้นเปลือง เท่าที่จำเป็นคือใช้ชนิดที่มี AHA ความเข้มข้นสูงทาตัว และความเข้มข้นต่ำทาหน้า ไม่ใช้เครื่องสำอางกรดผลไม้ทาเปลือกตาหรือทาริมฝีปากโดยเด็ดขาด<br />
<br />
8. เมื่อได้ผลิตภัณฑ์กรดผลไม้ที่ถูกใจแล้ว ให้ทาวันละ 1-2 ครั้ง ต่อเนื่องกันไป 6 เดือนถึง 1 ปี หรือจนกระทั่งไม่สามารถสังเกตเห็นว่า มีการเปลี่ยนแปลงดีขึ้นไปได้อีก ก็อาจลดการทาครีมลงได้ครึ่งหนึ่ง <br />
<br />
การลอกหน้าด้วยกรดผลไม้ หรือ AHA (alpha hydroxy acid) นั้นจะช่วยให้ เซลล์ผิวหนังชั้นนอกสุดคือ ชั้นขี้ไคลซึ่งเป็นผิวหนังชั้นที่ตายแล้ว หลุดลอกออกไป ทำให้ผิวดูสดใสและเรียบเนียนขึ้นได้บ้าง เพื่อความปลอดภัยควรให้แพทย์ผิวหนัง เป็นผู้ลอกหน้าให้ โดยมากนิยมใช้ AHA ความเข้มข้นร้อยละ 20-70 ก่อนลอกหน้าต้องล้าง และเช็ดเครื่องสำอางออกให้หมดก่อน ต้องใช้ผ้ากอซปิดตาหรือหลับตาให้สนิท เพราะถ้าน้ำยาเข้าตา ตาจะอักเสบระคายเคืองอย่างรุนแรง หลังทาน้ำยาจะมีอาการคันเล็กน้อย ทิ้งไว้ 2-3 นาที แล้วล้างหน้าให้สะอาด หลังลอกหน้าด้วยวิธีนี้ ผิวอาจจะบวมแดงเล็กน้อย และลอกเป็นขุยในอีก 2-3 วันต่อมา ทั่วไปนิยมลอกหน้าด้วย AHA ต่อเนื่องกัน 6 ครั้ง โดยเว้นระยะครั้งละ 2-3 สัปดาห์ แต่จะใช้น้ำยาความเข้มข้นสูงหรือต่ำขนาดใด และลอกบ่อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละคนด้วยนะครับ<br />
<br />
เนื่องจากการลอกหน้าด้วย AHA ทำให้ผิวหนังบางลง จึงทำให้ผิวได้รับอันตรายจากรังสียูวี ในแสงแดดได้ง่ายขึ้น ซึ่งผลเสียนี้ทำให้ผิวหนังเหี่ยวแก่เร็วและเกิดมะเร็งผิวหนังได้ง่าย จึงไม่แนะนำให้ผู้ที่มีผิวขาวอยู่แล้วลอกหน้าด้วย AHA และผู้ที่ลอกหน้าด้วย AHA จะต้องหลบเลี่ยงการโดนแดดจัด ต้องทายากันแดดที่มีค่า SPF อย่างต่ำ 15 ร่วมด้วยเสมอนะครับ <br />
<br />
<span style="color: grey; font-size: small;"><span style="color: #ff6ab5;">ที่มา..หนังสือ <a href="http://www.elib-online.com/books/neardoc.html" target="_blank"> นิตยสารใกล้หมอ </a>ปีที่ 25 ฉบับที่ 7 กรกฎาคม 2544</span></span> <br />
<br />
Mongkyhttp://www.blogger.com/profile/03088371074340768744noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5126024383371538952.post-5105198448414099922009-12-27T08:57:00.000+07:002009-12-27T08:57:28.165+07:00วิตามินซี VITAMIN Cหรือ กรดแอสคอร์บิค (Ascorbic acid)<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgSUdCl4Eant-SCI1cJ4JUaEH3WoswOqMnWujCSoiCBEDH-qia133nmXZykLFMJ_CBE6p5cOe58ahKyTrdZQ6vk4BVPEJTIMHNmlrFbuTrZWe9ecHq03jnAqC7ntxj3_0m_Pq8lUaQNnqm-/s1600-h/Vitamin+c.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgSUdCl4Eant-SCI1cJ4JUaEH3WoswOqMnWujCSoiCBEDH-qia133nmXZykLFMJ_CBE6p5cOe58ahKyTrdZQ6vk4BVPEJTIMHNmlrFbuTrZWe9ecHq03jnAqC7ntxj3_0m_Pq8lUaQNnqm-/s400/Vitamin+c.jpg" /></a><br />
</div><br />
<i><b><span style="color: red;">วิตามินซี VITAMIN</span> </b></i>Cหรือ กรดแอสคอร์บิค (Ascorbic acid) เป็นสารอาหารที่ละลายได้ในน้ำ ร่างกายไม่สามารถที่จะสร้างขึ้นเองได้ จึงจำเป็นต้องได้รับจากการรับประทานเข้าไป วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย ช่วยเพิ่มภูมิชีวิตได้เป็นอย่างดี เพราะสามารถป้องกันและรักษาการอักเสบอันเนื่องมาจากแบคทีเรียและไวรัสได้<br />
<br />
<b style="color: #660000;">ประโยชน์</b><br />
<br />
# ป็นตัวสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นเส้นใยทำหน้าที่เชื่อมเนื้อเยื่อต่างๆ ไว้ด้วยกัน ทั้งยังเป็นตัวสร้างกระดูก ฟัน เหงือก และเส้นเลือด<br />
# ช่วยให้แผลสดและแผลไฟไหม้หายเร็วขึ้น<br />
# ช่วยให้การดูดซึมธาตุเหล็กดีขึ้น ซึ่งเป็นการสร้างเม็ดเลือดทางอ้อม<br />
# ช่วยป้องกันการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ (Mutation)<br />
# ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคนอนหลับตายในกรณีเด็กอ่อน (SIDS: Sudden Infant Death Syndrome)<br />
# ช่วยแก้โรคเลือดออกตามไรฟัน<br />
# ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด<br />
# ช่วยคลายเครียด<br />
# การฉีดด้วยวิตามินซีปริมาณสูง อาจช่วยหยุดยั้งโรคมะเร็งได้ โดยวิตามินอาจเข้าทำปฏิกิริยาทางเคมีในเซลล์ มะเร็ง ให้กลายเป็นกรดขึ้น ทำให้เนื้อร้ายชะงักและน้ำหนักลดไปได้<br />
<br />
<a name='more'></a><br />
<br />
<b><span style="color: #660000;">ขนาดที่รับประทาน</span></b><br />
ใน สภาวะปกติปริมาณที่แนะนำให้รับประทานคือ 60 มิลลิกรัมต่อวัน (แต่ในคนที่สูบบุหรี่ 200 มิลลิกรัมต่อวัน) อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารเสริมสุขภาพได้แนะนำว่าเพื่อประสิทธิภาพ ที่ดีต่อสุขภาพควรจะต้องรับประทานอย่างน้อย 100-200 มิลลิกรัมต่อวัน คนที่มีความเครียดควรรับประทานวันละ 500 มิลลิกรัมต่อวัน แต่หากต้องการผลในด้านการป้งกันโรคต่างๆ เช่น มะเร็ง ความชรา ควรจะรับประทาน 250 – 1,000 มิลลิกรัม<br />
<br />
หากเราได้รับ วิตามินซี น้อยกว่าที่ร่างกายควรจะได้รับ ก็จะเกิดลักปิดลักเปิด ซึ่งจะยิ่งรุนแรงมากขึ้นหากขาดอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานและไม่ต้องกังวัล ว่าจะได้รับมากเกินไป เนื่องจาก วิตามินซี สามารถละลายน้ำได้ดี หากร่างกายไม่ได้ใช้ก็จะมีการขับออกมาได้ทางปัสสาวะ อีกทั้งยังไม่เคยมีรายงานเกี่ยวกับพิษที่เกิดจากการรับประทาน วิตามินซี แม้จะรับประทานในปริมาณที่สูงกว่า 6,000 - 18,000 มิลลิกรัม<br />
<br />
<br />
<br />
<b style="color: #660000;">อันตรายจากการได้รับวิตามินซีมากเกินไป</b><br />
* เกาต์ เนื่องจากวิตามินซีมีหน้าที่ในการช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็กในร่างกาย การรับวิตามินซีในปริมาณมากจะทำให้เกิดปัญหาการสะสมธาตุเหล็กตามกระดูกข้อ ต่อต่างๆ มากขึ้น และอาจทำให้เกิดโรคเกาต์ได้ในที่สุด<br />
* นิ่วใน ไต การได้รับวิตามินซีมากเกินไปอาจไปรบกวนการดูดซึมของทองแดงและซีลีเนียม ซึ่งส่งผลให้มีอัตราเสี่ยงต่อการเกิดนิวในไต หากได้รับวิตามินซีเกินวันละ 10,000 มิลลิกรัม อาจทำให้ท้องเสีย ท้องอืด ท้องเฟ้อได้<br />
<br />
<b><span style="color: #660000;"> </span></b><br />
<b><span style="color: #660000;">ข้อปฏิบัติในการรับประทานเพื่อประโยชน์สูงสุด</span></b><br />
<br />
► เพื่อให้ได้ผลดีที่สุดควรพิจารณารับประทานร่วมกับสารต้านอนุมูลอิสระตัว อื่นๆ เช่น วิตามินอี ฟลาโวนอย จะไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของ วิตามินซี<br />
<br />
► เพื่อสุขภาพทั่วไป ควรรับประทานอย่างน้อย 500 มิลลิกรัมต่อวัน<br />
<br />
► สำหรับการรับประทานเพื่อการรักษาหรือการป้องกัน ควรรับประทาน 1,000 – 6,000 มิลลิกรัม ขึ้นกับโรคแต่ละชนิด<br />
<br />
► การรับประทานไม่จำเป็นต้องรับประทานในครั้งเดียวต่อวัน สามารถแบ่งรับประทานเป็นหลายๆ ครั้งต่อวัน<br />
<br />
► การรับประทาน วิตามินซี ไม่จำเป็นต้องรับประทานพร้อมอาหาร หรือทานอาหารก่อนการรับประทาน<br />
<br />
►ยังไม่มีรายงานว่า วิตามินซี ชนิดพิเศษพวก Esterifies วิตามินซี จะให้ผลดีกว่าวิตามินซีแบบธรรมดา<br />
<br />
ข้อควรระวัง<br />
<br />
► การรับประทานในปริมาณสูงๆ อาจจะมีผลต่อการดูดซึมแร่ธาตุอื่นๆ เช่น Copper Selenium<br />
<br />
►การรับประทานในปริมาณสูงๆ อาจจะมีผลต่อการผิดพลาดของผลตรวจระดับน้ำตาลในปัสสาวะได้<br />
<br />
► วิตามินซี ทำให้การดูดซึมธาตุเหล็กได้ดี จึงอาจจะเกิดภาวะได้รับธาตุเหล็กเกิน<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<b>วิตามินซีกับหมอคนนี้</b><br />
ตอน 1 <br />
<br />
<object height="344" width="425"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/nvnaKz9e0EA&hl=en_US&fs=1&"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/nvnaKz9e0EA&hl=en_US&fs=1&" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="425" height="344"></embed></object><br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
ตอน2<br />
<object height="344" width="425"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/wzIGhjSFC-M&hl=en_US&fs=1&"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/wzIGhjSFC-M&hl=en_US&fs=1&" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="425" height="344"></embed></object>Mongkyhttp://www.blogger.com/profile/03088371074340768744noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5126024383371538952.post-41788807512685981762009-12-24T09:59:00.001+07:002010-01-08T17:45:49.862+07:00Gotula CE ใบบัวบก พืชมหัศจรรย์<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhqslxCqpnubmrcc0HsHYNQ9AUmT7czsG_2baODQf3w6kG7lkO2lBf716d_OPjFb5FZTg7Tpji0WxJ6fXXGT7kh8MgHBTF_bC2PwWwZ-xjpbBpZhS0Cx7e7pEjmVkMmCX3B3O6-S-qAaVMp/s1600-h/%E0%B9%83%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%9A%E0%B8%81.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhqslxCqpnubmrcc0HsHYNQ9AUmT7czsG_2baODQf3w6kG7lkO2lBf716d_OPjFb5FZTg7Tpji0WxJ6fXXGT7kh8MgHBTF_bC2PwWwZ-xjpbBpZhS0Cx7e7pEjmVkMmCX3B3O6-S-qAaVMp/s400/%E0%B9%83%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%9A%E0%B8%81.jpg" /></a><br />
</div><br />
<i><b>ใบบัวบก</b></i> เป็นสมุนไพรที่มีคุณประโยชน์มากมาย มีชื่อทางพฤกษศาสตร์ ว่า Centella asiatica ( Linn. ) ชื่อพื้นเมือง ผักแว่น ผักหนอก ทางเหนือเรียก ปะหนะ เอขาเด๊าะ บัวบก เป็นพืชที่ปลูกได้ง่าย มีใช้ทั้งในตำราอายุรเวท และประเทศจีน และในแพทย์แผนไทย ในตำรายาไทย ระบุสรรพคุณของ บัวบกโดยใช้ทั้งต้น ดังนี้ " แก้ช้ำใน บำรุงกำลัง บำรุงหัวใจ แก้อ่อนเพลีย เมื่อยล้า ขับปัสสาวะ แก้อาการเริ่มเป็นบิด ทำให้เลือดแผ่ซ่าน แก้ท้องร่วง เป็นยาขจัดเลือดเสีย แก้โรคผิวหนัง รักษาบาดแผล แก้พิษงูกัด แก้มุตกิต ระดูขาว " ( อ้างอิงที่ 1 ) สารสำคัญเป็นสารในกลุ่ม เทอร์ปีนอยด์ Terpenoids พวก ไตรเทอร์ปีน Triterpenes ในรูปไกลโคไซด์ ที่สำคัญคือ เอเซียติโคไซด์ ( Asiaticoside ) ใบบัวบกสามารถนำมารับประทานและรักษาแผลภายนอกได้<br />
<br />
สรรพคุณทางวิชาการทางการแพทย์ที่น่าสนใจ<br />
1. มี สารต้านอนุมูลอิสสระ และมีส ารต้านมะเร็ง ( อ้างอิงที่ 1, 12 )<br />
2. สามารถรักษาโรดกระเพาะได้ โดยสามารถลดขนาดของแผลในกระเพาะอาหารหนูได้อย่างมีนัยสำคัญ บอกถึงศักยภาพที่อาจจะทดลองนำมาใช้ในคนได้ ( อ้างอิงที่ 3 )<br />
3. ลดความเครียด ( Anxiolytic ) โดยมีงานวิจัยที่เชื่อถือได้ ในคน ( double-blind, placebo-controlled trial ) อ้างอิงที่ 4 )<br />
4. มีคุณประโยชน์ในผู้ป่วย เบาหวาน โดยเพิ่ม การไหลเวียนของเส้นเลือดฝอย การแลกเปลี่ยนออกซิเจนต่อเนื้อเยื่อ ทำให้ลดควาเมเสี่ยง ของการบวม เส้นประสาทเสื่อม เหน็บชา อ่อนแรง ในเบาหวาน ( อ้างอิงที่ 5,6 )<br />
5. เพิ่มการไหลเวียนของเส้นเลือดฝอย การแลกเปลี่ยนออกซิเจนต่อเนื้อเยื่อ ทำให้ลดควาเมเสี่ยง ของการบวม ในผู้สูงอายุ ผู้ที่มีแรงดันในเส้นเลือดดำสูง หรือโรคเลือดคั่งขาบวมในผู้ที่เดินทางนานๆ ในรถหรือเครื่องบิน ( อ้างอิงที่ 7,8 )<br />
6. อาจลดความเสี่ยงของ โรคริดสีดวง และ เส้นเลือดขอดที่ขา ( อ้างอิงที่ 9 )<br />
บำรุงสมอง มีงานวิจัยแต่ยังเป็นในระดับสัตว์ทดลองว่าทำให้มีความคิดอ่านและโรคอัลไซเมอร์ดีขึ้นได้ ( อ้างอิงที่ 11, 12 )<br />
<br />
ข้อห้ามและข้อควรระวัง<br />
ไม่ควรรับประทานในเด็ก สตรีมีครรภ์ และคนที่เป็นโรคตับ เช่น ตับอักเสบที่มีเอนไซม์ตับสูง หรือตัวเหลือง หรือตับ<br />
<br />
สรุป<br />
ใบ บัวบก เป็นพืชที่ สารต้านอนุมูลอิสระ ( อ้างอิงที่ 12 ) มีทั้งความเป็นอาหารและมีสรรพคุณทางเภสัช พอที่จะนำมาเป็นอาหารเสริมสุขภาพ ลดความเสี่ยงการเกิดโรคบางโรคได้ และอาจพัฒนามาเป็นยาก็ยังได้ในปริมาณที่สูง คนไทยรับประทานกันมานานแสนนาน มีความปลอดภัย และเชื่อถือได้<br />
<br />
เอกสารอ้างอิง<br />
1. บัวบก : อรนุช โชคชัยเจริญพร จุลสารข้อมูลสมุนไพร 14 (2) : 2540<br />
2. ผู้จัดการออนไลน์ 3 พ.ค. 47 16:03:23 http://www.manager.co.th/qol/viewNews.asp?newsid=4759613930582"<br />
3. . A double-blind, placebo-controlled study on the effects of Gotu Kola (Centella asiatica) on acoustic startle response in healthy subjects. J Clin Psychopharmacol 2000 Dec;20(6):680-4<br />
4. A double-blind, placebo-controlled study on the effects of Gotu Kola (Centella asiatica) on acoustic startle response in healthy subjects. J Clin Psychopharmacol 2000 Dec;20(6):680-4<br />
5. Evaluation of treatment of diabetic microangiopathy with total triterpenic fraction of Centella asiatica: a clinical prospective randomized trial with a microcirculatory model. Angiology 2001 Oct;52 Suppl 2:S49-54<br />
6. Treatment of diabetic microangiopathy and edema with total triterpenic fraction of Centella asiatica: a prospective, placebo-controlled randomized study. Angiology 2001 Oct;52 Suppl 2:S27-31 .<br />
7. Microcirculatory effects of total triterpenic fraction of Centella asiatica in chronic venous hypertension: measurement by laser Doppler, TcPO2-CO2, and leg volumetry. Angiology 2001 Oct;52 Suppl 2:S45-8 .<br />
8. Flight microangiopathy in medium- to long-distance flights: prevention of edema and microcirculation alterations with total triterpenic fraction of Centella asiatica. Angiology 2001 Oct;52 Suppl 2:S33-7 .<br />
9. MacKay D. Hemorrhoids and varicose veins: a review of treatment options. Altern Med Rev 2001 Apr;6(2):126-40 .<br />
10. Veerendra Kumar MH, Gupta YK. Effect of different extracts of Centella asiatica on cognition and markers of oxidative stress in rats. J Ethnopharmacol 2002 Feb;79(2):253-60 .<br />
11. Effect of Centella asiatica on cognition and oxidative stress in an intracerebroventricular streptozotocin model of Alzheimer's disease in rats. Clin Exp Pharmacol Physiol 2003 May-Jun;30(5-6):336-42 .<br />
12. Antioxidative behaviour of Malaysian plant extracts in model and food oil systems. Asia Pac J Clin Nutr 2004 Aug;13(Suppl):S72Mongkyhttp://www.blogger.com/profile/03088371074340768744noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5126024383371538952.post-80231084632515311862009-12-24T05:03:00.002+07:002009-12-24T05:10:02.348+07:00Lycopene ไลโคพีน : สารต่อต้านมะเร็งจากธรรมชาติ<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgbkludHzy3QrYCl6oghf3EX2yrDBwTlBeQPaecXd8MiVMQ9LxZ0A7XajkVSs2iDdbQkML2LVvnV6rMB-BWh75e8a3VM5r309YKv9RmIHq1uFeFoDFvX9UxUH1_DCId1GKIKzDGEvh2OqBv/s1600-h/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B8%B7.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" ps="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgbkludHzy3QrYCl6oghf3EX2yrDBwTlBeQPaecXd8MiVMQ9LxZ0A7XajkVSs2iDdbQkML2LVvnV6rMB-BWh75e8a3VM5r309YKv9RmIHq1uFeFoDFvX9UxUH1_DCId1GKIKzDGEvh2OqBv/s400/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B8%B7.jpg" /></a><br />
</div>ปัจจุบันสาเหตุการเสียชีวิตของมนุษย์เกิดจากความเจ็บป่วยโดยเฉพาะโรคมะเร็ง ที่มีสาเหตุมาจากความเครียด กรรมพันธุ์ และการสะสมของสารพิษในร่างกาย เป็นผลให้นักวิจัยพัฒนาหาสารที่มีประสิทธิภาพเพื่อป้องกันและรักษาโรคมะเร็ง สารหนึ่งในงานวิจัยนั้น คือ สารไลโคพีน (lycopene) เป็นสารอนุพันธุ์ในกลุ่มแคโร- ทีนอยด์ (carotenoid) กลุ่มเดียวกันกับเบต้า-คาโรทีน (B-carotene) มีโครงสร้างทางเคมีแบบ unsaturated hydrocarbon ประกอบด้วย พันธะคู่แบบ conjugated 11 คู่ และ unconjugated 2 คู่ ซึ่งเป็นสารให้สีเหลือง ส้มและแดงในผลไม้ เช่น เกรปฟรุ๊ต แอพริคอท ส้ม แตงโม โรสฮิป มะละกอ และส่วนใหญ่พบในมะเขือเทศ เป็นต้น <br />
<br />
<a name='more'></a>ไลโคพีน มีโครงสร้างทางเคมีที่มีพันธะคู่มากทำให้ง่ายต่อการเกิดปฏิกริยากับสารอนุมูลอิสระ หรือ free radical ที่เป็นสารอนุพันธ์ที่เกิดจากปฏิกิริยาออกซิเดชั่น ที่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งต่างๆ เช่น มะเร็งทรวงอก มะเร็งปอด มะเร็งต่อมลูกหมาก ลดปัญหาการอุดตันของเส้นเลือดแดงเนื่องจากไลโคพีนไปช่วยเพิ่มปริมาณ LDL cholesterol ในกระแสเลือดโดยไปลดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น และยังถูกนำมาศึกษาในการเป็นวัคซีนต่อต้านไวรัส HIV และไวรัสตับอักเสบชนิดบีด้วย จากการศึกษาในชายจำนวน 48,000 คน พบว่ารับประทานซอสมะเขือเทศอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง (ปริมาณไลโคพีน 19 mg/day) มีภาวะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากน้อยกว่าคนปกติ 16 % (www.mercola.com [Jan-09-2006]) <br />
<br />
ในการทานอาหารเพื่อให้ได้สารไลโคพีนนั้น จำเป็นต้องนำมะเขือเทศหรือผลไม้นั้นมาผ่านกระบวนการให้ความร้อน เนื่องจากในธรรมชาติโครงสร้างของสารดังกล่าวจะจับตัวกับสารโปรตีน และสามารถแยกตัวออกได้ด้วยความร้อน จะสังเกตเห็นได้ว่าปริมาณไลโคพีนในตารางที่ 1 อาหารที่ผ่านความร้อนจะมีปริมาณไลโคพีนมากกว่า ดังนั้นนอกจากการทานอาหารให้ครบ 5 หมู่แล้ว ถ้าเสริมด้วยสารไลโคพีนรับรองท่านจะมีสุขภาพดี มะเร็งไม่กล้าถามหาแน่<br />
<br />
<br />
<br />
Reference ; Helmenstine, A.M., 2006. Biochemistry of Lycopene. <br />
<br />
www.Chemistry.about.com/cs/biochemistry/a/aa050401a.html [Jan-09-2006] Clinton,.S.K. 1988. Lycopene : Chemistry, biology and implication for human health and disease. Nutrition review. 56 (2) : 35-51. www.mercola.com . 2006. Eat tomatoes to foil prostate cancer. [Jan-09-2006].Ishida, B.K., Chapman., M.N., 2004. A comparison of carotenoid content and total antioxidant activity catsup from several commercial sources in the United State. J.Agri Food Chem. 52 (26) : 8017- 8020.<br />
<br />
<br />
<br />
<a href="http://www.qplusconcept.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=85771&Ntype=2">ที่มา :</a>Mongkyhttp://www.blogger.com/profile/03088371074340768744noreply@blogger.com0