วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2552

กาแฟ coffee


สำหรับใครที่ชื่นชอบการดื่มกาแฟไม่ควรพลาดอ่านบทความดังต่อไปนี้ ผมคนหนึ่งที่ไม่สามารถหยุดหรือเลิกได้แน่นอนในชีวิตนี้(ตายเมื่อไหร่หยุดเมื่อนั้น อันนี้แน่นอน) แล้วเอสเปรสโซมันต่างกันไหงกับคาปูชิโนมันก็กาแฟเหมือนกันลองมาทำความรู้จักกับกาแฟละแบบก่อนครับ


เอสเปรสโซ (อังกฤษ: espresso) คือกาแฟที่มีรสแก่และเข้ม ซึ่งมีวิธีการชงโดยใช้แรงอัดไอน้ำหรือน้ำร้อนผ่านเมล็ดกาแฟคั่วที่บดละเอียด ที่มาของชื่อ เอสเปรสโซ มาจากคำภาษาอิตาลี "espresso" แปลว่า เร่งด่วน เอสเปรสโซเป็นกาแฟที่นิยมมากที่สุดในแถบประเทศยุโรปตอนใต้ โดยเฉพาะประเทศอิตาลี การสั่งกาแฟ "caffe" ในร้านโดยทั่วไปก็คือสั่งเอสเปรสโซ เอสเปรสโซถูกผลิตที่อิตาลีเอสเปรสโซมีต้นกำเนิดที่อิตาลีตอนที่อิตาลีล่าเอธิโอเปียมา เป็นอาณานิคมกาแฟก็นำมาปลูกที่อิตาลีส่วนใหญ่ ด้วยวิธีการชงแบบใช้แรงอัด ทำให้เอสเปรสโซมีรสชาติกาแฟซึ่งเข้มข้นและหนักแน่น ต่างจากกาแฟทั่ว ๆ ไปซึ่งชงแบบผ่านน้ำหยด และเพราะรสชาติเข้มข้นและหนักแน่นอันเป็นเอกลักษณ์นี้เอง ทำให้คอกาแฟดื่มเอสเปรสโซโดยไม่ปรุงด้วยน้ำตาลหรือนม และมักจะเสิร์ฟเป็นชอต (แก้วแบบจอก) เพื่อให้ปริมาณไม่มากจนเกินไป (ประมาณ 1-2 ออนซ์ หรือ 30-60มิลลิลิตร แตกต่างตาม พฤติกรรมการดื่ม ของแต่ละประเทศ) การสั่งเอสเปรสโซตามร้านกาแฟทั่วไป มักสั่งตามปริมาณเป็น "ซิงเกิ้ล" หรือ "ดับเบิ้ล" (ชอตเดียว หรือ สองชอต) เอสเปรสโซมีความไวสูงในการทำปฏิกิริยากับออกซิเจน เพื่อไม่ให้เสียรสชาติจึงควรดื่มตอนชงเสร็จใหม่ ๆผงกาแฟที่ใช้ ขึ้นอยู่กับแต่ละระบบการชง ระบบการชงแบบแรงดันน้ำ หรือแรงอัด จะต้องใช้ผงละเอียด แต่ไม่ถึงกับเป็นแป้ง (ขนาดของไซด์ผงกาแฟที่บด จะแปรผันตาม ระยะเวลาที่ทำกาแฟ อาทิ เครื่องชงแบบ เอสเปรสโซ่ เวลามาตราฐานอยู่ที่ 18-30 วินาที ก็ต้องใช้ ผงละเอียด แต่หากเป็นการชง ลักษณะอื่นๆ เช่น ชงโดยที่ชงแบบเฟรนช์เพรส ก็ต้องบดให้หยาบขึ้นและระยะเวลาที่ชงก็จะเพิ่มขึ้นตามลำดับ <ยิ่งหยาบยิ่งต้องใช้เวลานานขึ้นในการชง>) ในการชงเอสเปรสโซ จะต้องควบคุมปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อรสชาติ อาทิ เมล็ดกาแฟที่ใช้ (สมควรเป็นเมล็ดกาแฟที่คั่ว เก็บมาไม่เกิน 1 เดือน) ,การบดกาแฟ (ขนาดของผงกาแฟที่บด ต้องสัมพันธ์ กับเครื่องชงและระยะเวลาการไหล ของกาแฟ ขณะชง) , น้ำที่ใช้ชงกาแฟ (คุณภาพเป็นน้ำที่ใช้ บริโภค ไม่ควรใช้นำสะอาดบริสุทธิ์ จนเกินไป เพราะ นอกจากไม่ได้รับ สารอาหารที่มากับน้ำแล้วยังมีผลกระทบ ต่อรสชาติ ด้วย) , ระยะเวลาในการชง (ดังที่กล่าวไว้ ในข้างต้น หากใช้เวลา การชงเอสเปรสโซ่ตำกว่า 18 วินาที หรือ underextract แสดงว่า การแพคกาแฟ ต่อชอต ไม่แน่นพอ หรือ ปริมาณผงกาแฟในชอต มีน้อยเกินไป หรือ ขนาดผงกาแฟหยาบเกินไป หากการกลั่นกาแฟเอสเปรสโซ่ นานเกินกว่า 30 วินาที จะมีผลทำให้เอสเปรสโซ่ที่ได้ มีรสขม bitter ไม่เข้ม มีกลิ่นไหม้ burn จากการชงแบบเครื่องอัด ศัพท์ฝรั่งเรียก overextract)

คาปูชิโน (cappuccino) เป็นหนึ่งในเครื่องดื่มประเภทกาแฟซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากประเทศอิตาลี คาปูชิโนมีส่วนประกอบหลักคือ เอสเพรสโซ และ นม คำว่า Cappuccino เป็นภาษาอิตาเลียน ออกเสียงให้ถูกต้องว่า กัปปุชชิโน่ การชงคาปูชิโนโดยส่วนใหญ่มักมีอัตราส่วนของเอสเพรสโซ 1/3 ส่วน ผสมกับนมสตีม (นมร้อนผ่านไอน้ำ) 1/3 ส่วน และนมตีเป็นโฟมละเอียด 1/3 ส่วนลอยอยู่ด้านบน นอกจากนั้นอาจโรยหน้าด้วยผงซินนามอน หรือ ผงโกโก้เล็กน้อยตามความชอบ ส่วนผสมของคาปูชิโนต่างจากของลาเต้ มาเกียโต้ (latte macchiato) ซึ่งประกอบไปด้วยนมเป็นส่วนใหญ่และนมตีโฟมเพียงเล็กน้อย ในประเทศอิตาลี ผู้คนมักดื่มคาปูชิโนเป็นอาหารเช้าโดยเฉพาะ โดยอาจมีขนมปังแผ่นหรือคุกกี้ประกอบ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าวิถีชีวิตของชาวอิตาลีมักไม่ค่อยรับประทานอาหารเช้า แบบเป็นกิจลักษณะ คาปูชิโนและขนมปังเบาๆ จึงเหมาะเป็นอาหารรองท้องสำหรับยามเช้า และด้วยเหตุนี้ทำให้ไม่ดื่มคาปูชิโนในช่วงอื่นของวัน แต่สำหรับต่างประเทศรวมถึงประเทศไทย การดื่มคาปูชิโน ดื่มได้ทุกเวลาโดยไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลก

ค่ามอคค่า (อังกฤษ: Cafe Mocha) เป็นเครื่องดื่มกาแฟที่คล้ายกับกาแฟลาเต้คือมีเอสเพรสโซ่ 1/3 ส่วนและนมร้อน 2/3 ส่วน แต่แตกต่างกันที่มอคค่าจะมีส่วนผสมของช็อคโกแลตด้วย โดยมักจะใส่ในรูปของน้ำเชื่อมช็อคโกแลต เสิร์ฟได้ทั้งแบบร้อนและแบบเย็นใส่น้ำแข็ง มักมีวิปครีมปิดหน้า มอคค่า อาจหมายถึงกาแฟอราบิก้าชนิดหนึ่ง ซึ่งปลูกอยู่บริเวณท่าเรือมอคค่าในประเทศเยเมน กาแฟมอคค่ามีสีและกลิ่นคล้ายชอคโกแลต (แม้ว่าจะไม่มีส่วนประกอบของชอคโกแลตในมอคค่าเลยก็ตาม) อันเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้กาแฟมอคค่าเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย

ลาเต้ (ภาษาอิตาลี: Latte) เป็นภาษาอิตาลีแปลว่านม ส่วนในประเทศอื่น จะหมายถึง กาแฟลาเต้ หรือเครื่องดื่มกาแฟที่เตรียมด้วยนมร้อน โดยการเทเอสเพรสโซ 1/3 ส่วน และนมร้อนอีก 2/3 ส่วน ลงในถ้วยพร้อมๆ กัน และจะหยอดโฟมนมหนาประมาณ 1 ซม. ทับข้างบน ในประเทศอิตาลี กาแฟลาเต้นี้รู้จักกันในชื่อของ "caffè e latte" ซึ่งหมายถึง กาแฟกับนม ซึ่งใกล้เคียงกับในภาษาฝรั่งเศส คำว่า "café au lait" กาแฟลาเต้เริ่มเป็นที่นิยมนอกประเทศอิตาลีในช่วงต้นทศวรรษที่ 1980 ในการชงกาแฟลาเต้ บาริสต้า (หรือผู้ชงกาแฟที่ชำนาญงาน) จะใช้วิธีขยับข้อมือเล็กน้อยขณะที่รินนมและโฟมนมลงบนกาแฟ ทำให้เกิดลวดลายต่าง ๆ เรียกว่า ลาเต้อาร์ต (latte art) หรือศิลปะฟองนมในถ้วยกาแฟ

อเมริกาโน หรือ คาเฟ่ อเมริกาโน (café americano) คือเครื่องดื่มกาแฟชนิดหนึ่ง ซึ่งมีวิธีการชงโดยเติมน้ำร้อนผสมลงไปในเอสเพรสโซ. การเจือจางเอสเพรสโซซึ่งเป็นกาแฟเข้มข้นด้วยน้ำร้อน ทำให้อเมริกาโนมีความแก่พอ ๆ กับกาแฟธรรมดา แต่มีกลิ่นและรสชาติที่เข้มอันมาจากเอสเพรสโซ อเมริกาโนเหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบกาแฟดำ แต่ไม่แก่และหนักถึงขั้นเอสเพรสโซ คอกาแฟส่วนใหญ่นิยมดื่มอเมริกาโนโดยไม่ปรุงด้วยนมหรือน้ำตาล เพื่อดื่มด่ำกับรสชาติกาแฟของอเมริกาโนซึ่งแตกต่างจากกาแฟธรรมดา สำหรับที่มาของชื่ออเมริกาโนซึ่งหมายถึงสหรัฐอเมริกานั้น ว่ากันว่าเอสเพรสโซเพียว ๆ นั้น เข้มข้นเกินไปสำหรับคอกาแฟชาวอเมริกา จึงมีการเสิร์ฟกาแฟเอสเพรสโซซึ่งทำให้เจือจางด้วยน้ำร้อน. แม้ที่มาของชื่อจะหมายถึงกาแฟสไตล์อเมริกา แต่อเมริกาโนก็มิได้เป็นกาแฟที่ชาวอเมริกานิยมดื่ม จนกระทั่งยุครุ่งเรืองของร้านกาแฟแฟรนไชส์ สตาร์บัคส์ ในปี พ.ศ. 2533 แต่ถึงกระนั้นอเมริกาโนก็ไม่จัดเป็นกาแฟที่ได้รับความนิยมมากนัก

และยังมีกาแฟอีกมากมายทั้งกินแล้วไม่อ้วนกินแล้วไม่แก่(สองแบบนี้ไม่เฟิร์มเด้อ) เอาละมาทำความรู้จักกับแกแฟกันดีกว่า จากบทความนี้


กาแฟ” ต้านอนุมูลอิสระได้จริงหรือ?
‘สวย ใส ดื่มกาแฟ’ ได้ยินประโยคนี้แล้วให้ฟังดูแปร่งๆ หูไปเพราะใครจะไปเชื่อว่าเจ้าเมล็ดกาแฟสีน้ำตาลเข้มๆ ผ่านกระบวนการผลิตกระทั่งกลั่นออกมาผสมในน้ำร้อนส่งกลิ่นหอมกรุ่นพร้อมรับ อรุณทุกเช้าจะสามารถส่งผลให้ผู้ดื่มกินมีความอ่อนเยาว์ สุขภาพจิตสุขภาพใจเปล่งปลั่ง โดยเฉพาะในคุณผู้หญิงที่แสนจะเข็ดขยาดกับความเหี่ยวย่นบนใบหน้าด้วยสารก่อ ภัยที่เรียกกันว่า ‘อนุมูลอิสระ’ ที่พร้อมฝากริ้วรอยอันไม่พึงประสงค์ไว้ได้ตลอดเวลา

แน่นอนว่า...คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ “จริงหรือ?”

รู้จักกับอนุมูลอิสระ
พญ.อัจจิมา สุวรรณจินดา ผู้อำนวยการสถาบันวัยวัฒน์และความงามเมดดีไซน์อธิบายถึงสารอนุมูลอิสระว่า เป็นโมเลกุลที่อยู่ไม่เป็นสุข ไม่เสถียร มีความไวต่อการเกิดปฏิกิริยามากๆ จึงอยู่กับที่ไม่ได้ คอยแต่จะทำปฏิกิริยากับโมเลกุลต่างๆ ภายในร่างกายเพื่อให้ตัวมันเสถียร จึงเกิดการทำลายโมเลกุลอื่นๆ ต่อเนื่องกันเป็นลูกโซ่ ก่อให้เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อร่างกาย เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า รอบดวงตา และผิวพรรณ
รวมทั้งเป็น สาเหตุของการเกิดโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคหัวใจขาดเลือด ต้อกระจก ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง อัลไซเมอร์ เบาหวาน มะเร็ง เป็นต้น ซึ่งปฏิกิริยาที่อนุมูลอิสระทำลายเซลล์นี้เรียกว่า ปฏิกิริยาออกซิเดชัน

ที่ สำคัญคือ สารอนุมูลอิสระนี้พบได้ตลอดเวลาในร่างกาย ซึ่งต่อให้สุขภาพดีแค่ไหน ก็ต้องมีอนุมูลอิสระเกิดขึ้นอยู่วันยังค่ำและห้ามไม่ให้เกิดไม่ได้

ทั้ง นี้ อนุมูลอิสระมีแหล่งที่มา 2 แหล่งคือจากภายในร่างกาย เช่น การเผาผลาญอาหาร การหายใจ การออกกำลังกาย และภายนอกร่างกายคือ ความเครียด การติดเชื้อ มลพิษในอากาศ เป็นต้น นอกจากนั้นเมื่อคนเราอายุมากขึ้น เซลล์ในร่างกายทุกเซลล์จะผลิตอนุมูลอิสระมากขึ้นและความสามารถในการซ่อมแซม ส่วนสึกหรอของร่างกาย รวมทั้งความสามารถในการกำจัดอนุมูลอิสระก็ลดลง เมื่อสองสิ่งนี้ผนวกกำลังเข้าด้วยกัน หนึ่ง เร่งทำลาย สอง ลดการซ่อมแซม ผลจึงทำให้ร่างกายเสื่อมโทรมอย่างรวดเร็ว

ทว่า ร่างกายไม่ได้ยอมให้เจ้าอนุมูลอิสระนี้มาทำลายเซลล์ร่างกายเพียงฝ่ายเดียว

พญ. อัจจิมาบอกว่า ธรรมชาติได้สร้างสารต้านอนุมูลอิสระหรือแอนติออกซิแดนซ์ขึ้นมาสู้รบกับ อนุมูลอิสระ โดยผลิตเอนไซม์บางชนิดออกมาเช่น glutathione peroxidase แต่แม้ว่าจะมีการสร้างแอนติออกซิแดนซ์เอนไซม์ขึ้นในร่างกาย ก็ยังไม่เพียงพอและมีขีดจำกัด ประกอบกับเมื่ออายุมากขึ้นร่างกายสร้างสารต้านอนุมูลอิสระได้น้อยลง ดังนั้นร่างกายจึงต้องเพิ่มความสามารถในการกำจัดอนุมูลอิสระโดยรับประทาน อาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งมีทั้งที่เป็นวิตามิน แร่ธาตุและสารสกัดที่ได้จากธรรมชาติ รวมทั้งเมื่อร่างกายเกิดความเสื่อมโทรมมากหรือมีปัญหาในความสวยความงามอีก ทางเลือกหนึ่งที่นิยมกันมากนั่นคือการใช้เทคโนโลยีเข้าช่วย เช่น การทำเลเซอร์

“สารต้านอนุมูลอิสระมีมากในอาหารจำพวก ผัก ผลไม้ และที่กำลังได้รับความนิยมกันคือในใบชา แต่ล่าสุดได้ถูกค้นพบอีกว่ามีในเมล็ดกาแฟด้วย อย่างไรก็ตาม สิ่งที่คนทั่วไปโดยเฉพาะในผู้หญิงส่วนใหญ่กำลังนิยมทำกันมากเกี่ยวกับการ เสริมและแก้ไขปัญหาในเรื่องความสวยความงามนั่นคือการทำเลเซอร์ผิวหนัง แต่นั่นก็เป็นเพียงการแก้ที่ปลายเหตุ”

“หากจะให้ได้ ผลดีหมอแนะนำให้ดูแลตัวเองจากภายในจะดีที่สุด เริ่มจากการปรับวิถีชีวิตประจำวัน บริโภคอาหารที่มีประโยชน์ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญและช่วยได้เยอะมากจะมัวพึ่งพา เทคโนโลยีอย่างเดียวไม่ได้ ที่น่าตกใจคือเด็กๆที่อายุยังน้อยสมัยนี้ก็ใช่ว่าจะรักษาได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่ นั่นเพราะสิ่งแวดล้อมและการดำเนินชีวิตในสังคม ปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปมาก”

ไขความลับในเมล็ดกาแฟ
ด้านรศ.ดร.ชัยชาญ แสงดี หัวหน้าภาควิชาเภสัชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ ม.เชียงใหม่ได้เล่าถึงสารต้านอนุมูลอิสระที่ถูกค้นพบว่ามีในเมล็ดกาแฟว่านัก วิทยาศาสตร์ได้ค้นพบว่าจริงๆ แล้วในเมล็ดกาแฟสดๆ จากต้นกาแฟที่ยังไม่ผ่านการคั่วนั้นอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระจาก ธรรมชาติ ชื่อ “กรดคลอโรจินิก” ซึ่งมีขนาดโมเลกุลเล็ก ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมและนำไปใช้ประโยชน์ได้ดี แต่กรดคลอโรจินิกจะเกิดการสลายตัวเมื่อโดนความร้อนจากการคั่วเมล็ดกาแฟ แต่ไม่ได้เป็นการสูญเปล่าโดยสิ้นเชิง เนื่องจากกรดคลอโรจินิกจะรวมตัวกับคาร์โบไฮเดรต กรดอะมิโนและโปรตีนในเมล็ดกาแฟในระหว่างการคั่ว ให้เป็นสารเมลานอยดินส์ ซึ่งมีสีน้ำตาลอ่อนถึงน้ำตาลเข้ม ตามอุณหภูมิและระยะเวลาของการคั่วเมล็ดกาแฟ ทำให้เกิดเป็นสีและกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของกาแฟ นอกจากนี้สารเมลานอยดินส์ยังมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย แต่มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระต่ำกว่ากรดคลอโรจินิก

ล่า สุดมีการค้นพบกรรมวิธีในการผลิตกาแฟในการทำให้เกิดการสูญเสียกรดคลอโรจินิ กน้อยที่สุดนั่นคือการนำเมล็ดกาแฟสดมาผสมกับกาแฟเย็นหมายถึงกาแฟที่คั่วแล้ว และขั้นตอนผ่านการผลิตออกมาเป็นกาแฟผงพร้อมชงดื่มจะให้ปริมาณสารต้านอนุมูล อิสระมากกว่ากรรมวิธีการผลิตทั่วๆไปถึง 3 เท่า ซึ่งจะมีมากกว่าในใบชาเขียวที่ได้รับการค้นพบว่ามีสารต้านอนุมูลอิสระและคน ส่วนใหญ่ให้ความนิยมกันมากถึง 3 เท่าเช่นกัน ดังนั้นการหันมาบริโภคกาแฟจึงเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับคนที่ห่วงใยสุขภาพโดย เฉพาะใครที่กังวลในเรื่องของสารอนุมูลอิสระ สิ่งที่ไม่พึงประสงค์ที่หลายคนขยาดกลัว

ยืดเส้นยืดสายอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยต้านอนุมูลอิสระได้


“ความ จริงแล้วในชามีสารต้านอนุมูลอิสระเท่ากันกับกาแฟ เพียงแต่มีข้อเสียเปรียบตรงที่เราไม่สามารถนำใบชามาชงในน้ำในปริมาณมากๆเท่า กาแฟผงได้เพราะจะทำให้ได้รสชาติที่ไม่น่ารับประทานนี่คือข้อเสียของชาที่มี ไม่ได้เท่ากาแฟ นอกจากนั้นกาแฟยังช่วยในการป้องกันโรคได้หลายชนิด เช่น ช่วยลดการเกิดเบาหวานชนิดที่ 2 ป้องกันและลดการเกิดมะเร็ง ป้องกันโรคตับและลดการเกิดภูมิแพ้ได้”

แต่เนื่องจาก ภาพลักษณ์ของกาแฟกับคนในสังคมปัจจุบันค่อนข้างถูกมองในแง่ลบและในกาแฟเองก็ มีกาเฟอีนซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดความเครียดได้ รศ.ดร.ชัยชาญ ให้ความเห็นว่าจากการศึกษาทางระบาดวิทยาของการดื่มกาแฟมักถูกชักจูงไปในทาง ลบคือเพื่อศึกษาให้พบว่าการดื่มกาแฟหรือกาเฟอีนในกาแฟก่อให้เกิดผลเสียต่อ สุขภาพ ส่วนใหญ่สัมพันธ์กับพฤติกรรมเสี่ยงของผู้ดื่มกาแฟคือผู้ดื่มกาแฟมักดื่มกาแฟ และสูบบุหรี่มาก รับประทานอาหารที่มีไขมันสูงและออกกำลังกายพักผ่อนน้อย

“ทุกอย่าง ต้องยืนพื้นอยู่บนความพอดี คนที่ดื่มกาแฟแล้วคิดว่าทำให้ร่างกายย่ำแย่เป็นเพราะสภาพแวดล้อมและการ ดำเนินชีวิตมากกว่า ร่างกายเราไม่มีใครจะมารู้จักเท่าตัวเราเอง เราจะรู้เองว่าตรงไหนเวลาใดถึงจะเรียกว่าพอเหมาะพอดี เราไม่สามารถบอกได้ว่าควรดื่มกาแฟหรือชากี่แก้วถึงจะได้รับสารต้านอนุมูล อิสระมาก อะไรที่มันมากไปหรือน้อยไป มันย่อมส่งผลต่อร่างกายทั้งนั้น”รศ.ดร.ชัยชาญสรุป

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 20 ตุลาคม 2549 09:51 น.

ปิดท้ายขายของ กาแฟกิฟฟารีน รอยัล คราวน์ บิวตี้ แคฟเฟ่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น