วันจันทร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

อาหารเสริมกับข้อห้ามและข้อดวรระวังสำหรับโรคบางโรค


การรับประทานอาหารเสริม อาหารเพื่อสุขภาพ หรือ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เพื่อส่งเสริมสุขภาพมีประโยชน์สำหรับคนปกติ และมีประโยชน์สำหรับผู้ป่วยบางโรค และไม่ควรนำผลิตภัณฑ์เสริมอาหารไปอวดอ้างว่ารักษาโรคได้ เพราะอาหารเสริมไม่ใช่ยาที่จะนำไปรักษาโรคให้หายขาด หากมีอาการป่วยที่ไม่ทราบว่าเป็นโรคอะไรแน่ควรพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยหาโรคก่อนเสมอ ไม่ควรรับประทานอาหารเสริมและมัวแต่รอผลของอาหารเสริมอาจเสียเวลาในการรักษาโรคที่แน่นอน ผู้ที่จะรับประทานอาหารเสริมควรศึกษาข้อดี ข้อเสีย ข้อควรระวัง ข้อห้ามก่อนรับประทาน สำหรับคนที่มีโรคประจำตัวควรปรึกษาแพทย์ก่อน

อาหารเสริม กับข้อห้ามสำหรับบางโรค

นิ่วในไต

ระวังในการรับประทานแคลเซียม เพราะในบางรายอาจเพิ่มการขับแคลเซียมในปัสสาวะ เกิดการตกตะกอน ทำให้นิ่วโตเร็วขึ้นในผู้ที่ป่วยเป็นนิ่วแลัว ควรได้รับการตรวจแคลเซียมในปัสสาวะและพิจารณาโดยแพทย์ก่อน

นิ่วในถุงน้ำดี

ห้ามขมิ้นชัน และว่านชักมดลูก เพราะทั้งสองตัวเพิ่มการหลั่งน้ำดีอาจทำให้นิ่วโตเร็ว แต่เมื่อได้รับการผ่าตัดถุงน้ำดีไปแล้วสามารถรับประทานได้

โรคลมชัก โรคจิต

ห้ามน้ำมันพริมโรส และ แอล-ธีอะนีน เพราะอาจทำให้อาการแย่ลงแม้จะเริ่มมีงานวิจัยคัดค้านว่าไม่เป็นอันตราย แต่ให้ถือว่าห้ามรับประทานไว้ก่อน

เบาหวาน

ห้ามลดน้ำหนักด้วยสูตรอาหารเพื่อสุขภาพทั้งหมดเพราะจะทำให้น้ำตาลในเส้นเลือดต่ำเกินไปเสมอจนเป็นอันตราย ทั้งนี้ รวมจากผลของยาเบาหวานด้วย ผู้ป่วยเบาหวานถ้าต้องการจะลดน้ำหนักต้องปรึกษาแพทย์ที่รักษาในการปรับยาเบหวานและอยู่ในความดูแลของแพทย์เสมอ

โรคหัวใจ อัมพาต เส้นเลือดอุดตัน(อาจจะทานยาแอสไพรินหรือยาต้านเกล็ดเม็ดเลือดยาละลายลิ่มเลือด เป็นต้น)
ห้าม แป๊ะก๊วย น้ำมันพริมโรส โสม กระเทียม น้ำมันปลา เห็ดหลินจือ สารสกัดจากเมล็ดองุ่น หว่านชักมดลูก ในกรณีที่ทานยาต้านการแข็งตัวของเลือดปริมาณสูงห้ามรับประทาน โคเอ็นไซน์ คิาเท็น

โรคตับทุกชนิด(ทีมีเอนไซน์ของการทำงานของตับสูง คือค่า SGOT SGPT มากกว่า 40 IU)

ห้า เมสมุนไพร เช่น โสม เห็ดหลินจือ ใบบัวบก แปะก๊วย ฟ้าทะลายโจร กราวเครือ ว่านชักมดลูก เพราะเป็นสมุนไพรที่มีความเป็นยาสูง อาจทำให้ตับทำงานหนัก(แต่สำหรับพาหะไวรัสตับอักเสบบี ที่มีเอนไซน์ของการทำงานของตับปกติ คือ ค่า SGOT SGPT น้อยกว่า 40 IU จะรับประทานอาหารเสริมที่มีความเป็นสมุนไพรบางชนิดที่สามารถแนะนำได้คือ ขมิ้นชัน และสารสกัดจากชาเขียวแต่ควรเช็คการทำงานของตับเป็นระยะ)

ข้อห้ามอย่างเด็ดขาด สำหรับอาหารเสริม

สตรีตั้งครรภ์ต่ำกว่า4 เดือน ไม่ให้รับประทานอาหารเสริมทุกชนิด เพื่อความปลอดภัยสูงสุด(สตรีตั้งครรภ์ทุกระยะไม่ควารรับประทานสมุนไพร สำหรับสตรีที่อายุครรภ์เกินสี่เดือน อาหารเพื่อสุขภาพที่สามารถแนะนำได้ควรเป็นพวก วิตามิน โปรตีน แคลเซียม น้ำผลไม้ และน้ำมันปลาเท่านั้น)

เด็กอายุต่ำกว่า1ปี ไมให้ทานอาหารเพื่อสุขภาพทุกชนิด เพราะเมื่อไม่สบายจะมีอันตรายสูงต้องตรวจรักษาโดยแพทย์เท่านั้น และไม่ตั้องการอาหารสุขภาพเพิ่มเติมอะไรอีกเลย นอกจากนี้เด็กที่ยังเคี้ยวหรือกลืนยาไม่ได้ ก็อาจจะติดคอเป็นอันตราย

คนไข้ในโรงพยาบาล ไม่ให้ทานอาหารเสริมเพื่อสุขภาพทุกชนิด เพราะอาจจะรบกวนการทำงานของแพทย์รบกวนยา หรือคนไข้อาจมีภาวะที่ตับ ไต ไม่แข็งแรง เป็นต้น



ที่มาจากนังสือ The Dietary Supplement Pyramid รายละเอียดที่เป็นประโยชน์อีกมากมายเพิ่มเติมในหนังสือ ขอได้ฟรีทีศูนย์กิฟฟารีน

วันศุกร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เจียวกู้หลาน หรือ เจียวกู่หลาน ( JIAOGULAN )




เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ เจียวกู่หลาน

เจียวกู่หลาน มีอีกชื่อว่า “ปัญจขันธ์” ได้รับคัดเลือกเป็นสมุนไพรแห่งปี 2548 ร่วมกับฟ้าทะลายโจร จากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
เจียวกู่หลาน มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Gynostemma pentaphyllum จัดเป็นพืชสมุนไพรชนิดเถา มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเอเชียตะวันออก และเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ พบตั้งแต่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี อินเดีย เนปาล ศรีลังกา พม่า ไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ฯลฯ ในประเทศจีนใช้แก้ไอ รักษาอาการอักเสบ ขับเสมหะ รักษาอาการหลอดลมเรื้อรัง และตับอักเสบจากการติดเชื้อ ในการแพทย์พื้นบ้านของญี่ปุ่น ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ ลดไข้ แก้อักเสบ และบำรุงกำลัง สมุนไพรชนิดนี้มีประวัติการใช้มายาวนานในประเทศจีน และญี่ปุ่น ทั้งเป็นยาและเป็นอาหารเสริมสุขภาพ (อ้างอิงที่ 1)

มะรุม


เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ มะรุม

มะรุมเป็นพืชสมุนไพรที่ใช้ เป็นอาหารอยู่ในหลายประเทศ มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Moringa oleifera Lamk มะรุมมีชื่อเรียกต่าง ๆ คือ “drum stick tree” “horse radish tree” “kelor tree” ส่วนต่าง ๆ ที่ใช้รับประทานคือ ใบ ผล ดอก และฝักอ่อน สำหรับในประเทศไทย นิยมใช้ฝักมะรุมปรุงอาหารในรูปของแกงส้ม แกงอ่อม
การใช้ประโยชน์ทางยา พบว่า เกือบจะทุก ๆ ส่วนของต้นมะรุม มีการนำไปใช้ทางยาในแถบเอเชียใต้ ส่วนที่ใช้คือ ราก เปลือกต้น กัม (gum) ใบ ผล (ฝัก) ดอก เมล็ด และน้ำมันจากเมล็ด (อ้างอิงที่ 1) ในตำรายาพื้นบ้าน ใช้ใบมะรุมพอกแผลช่วยห้ามเลือด ทำให้นอนหลับ เป็นยาระบาย ขับปัสสาวะ และช่วยแก้ไข้ ใช้ส่วนดอกและผลเป็นยาบำรุง ขับปัสสาวะ และแก้ไข้ ใช้ส่วนเมล็ดบดพอกแก้ปวดข้อตามข้อ และแก้ไข้ (อ้างอิงที่ 2) มีรายงานกล่าวถึงการนำพืชนี้มาใช้เป็นยาครอบจักรวาล (panacea) (อ้างอิงที่ 3)
ในภาพรวมของข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการวิจัยในระดับเซลล์และสัตว์ทดลองพบว่า มะรุมมีฤทธิ์ที่น่าสนใจมากมาย เช่น ฤทธิ์ลดความดันโลหิต ต้านการเกิดเนื้องอก ต้านมะเร็ง ลดระดับโคเลสเตอรอล ต้านการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ป้องกันตับอักเสบ ต้านออกซิเดชัน ต้านเชื้อแบคทีเรีย ลดระดับน้ำตาล และฤทธิ์ต้านการอักเสบ

สำหรับงานวิจัยที่น่าสนใจในสัตว์ทดลองมีโดยย่อดังนี้
ฤทธิ์ลดความดันโลหิต
สารสกัดน้ำและเอทานอลของใบมะรุม สารสกัดเอทานอลของผลและฝัก สารในกลุ่ม glycosides ในสารสกัดเมทานอลของฝักแห้งและเมล็ด แสดงฤทธิ์ลดความดันโลหิตในสุนัขและหนูแรท

วันเสาร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เรื่องของขมิ้นชัน


ขมิ้นชัน เป็นพืชสมุนไพรชนิดหนึ่ง ซึ่งสามารถนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพ เนื่องจากมีคุณประโยชน์และงานวิจัยทางด้านการแพทย์กล่าวโดยสรุปได้ดังนี้
1. มีประโยชน์ต่อระบบทางเดินอาหาร โดยช่วยลดท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยย่อยอาหาร บำรุงตับ ลดการเจ็บป่วยจากโรคลำไส้เรื้อรัง
2. มีประโยชน์ต่อระบบหัวใจ หลอดเลือดหัวใจ และ สมอง โดยช่วยในเรื่องโรคหัวใจและหลอดเลือด ลดการตายของกล้ามเนื้อหัวใจและป้องกันเซลล์สมองตายจากการขาดเลือด
3. มีประโยชน์ในด้านการช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็งหลายชนิด ได้แก่ มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งเม็ดโลหิตขาว มะเร็งปอด มะเร็งตับ มะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ และอาจลดมะเร็งปากมดลูกอีกด้วย
4. มีประโยชน์ในด้านช่วยบำรุงสมอง และอาจช่วยเรื่องอัลไซเมอร์
5. ช่วยฆ่าเชื้อมาเลเรีย

วันอาทิตย์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2553

หอยเป๋าฮื้อ



รื่องน่ารู้เกี่ยวกับ เป๋าฮื้อ
หอยเป๋าฮื้อ หรือหอยโข่งทะเล หรือชื่อภาษาอังกฤษว่า อะบาโลน (abalone) เป็นหอยโข่งทะเลฝาเดียวอาศัยตามก้อนหินแถบชายฝั่งทะเล จัดเป็นอาหารที่อุดมคุณค่าโปรตีน และตามความเชื่อตามประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นได้ใช้หอยชนิดนี้เขียนตัวอักษร ถึงพระเจ้า นอกจากนี้หอยเป๋าฮื้อยังเป็นสัตว์กินพืช มีอายุยืน ทำให้มีราคาแพงมาก       ในอดีตผู้ที่จะได้กินจึงจะมีแต่พวกจักรพรรดิ์และขุนนางผู้ใหญ่ แต่ในปัจจุบันหอยเป๋าฮื้อเป็นอาหารทั่วไปที่นิยมกินกันในโอกาสสำคัญเนื่อง บางคนยังมีความเชื่อว่าเป็นอาหารสิริมงคล จึงทำให้มีการบริโภคอย่างแพร่หลายมากขึ้นซึ่งเป็นที่นิยมกันมากในประเทศ แถบเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี จีน ไต้หวัน กับหลายประเทศในแถบยุโรปและอเมริกา (อ้างอิงที่ 1, 2) ในประเทศไทยเองก็ได้มีฟาร์ม ทำการเพาะเลี้ยงหอยเป๋าฮื้อสายพันธุ์น้ำอุ่น ที่กำลังเป็นที่นิยมของตลาดในปัจจุบัน คือ ฮาลิโอติส ไดเวอร์สิคัลเลอร์ (Haliotis diversicolor) เป็นหอยเป๋าฮื้อพันธุ์ไต้หวันที่เลี้ยงง่าย    โตเร็ว ทนต่อโรค และเป็นความต้องการของตลาด โดยมีตลาดหลักคือ ญี่ปุ่น จีน ฮ่องกง ไต้หวัน (อ้างอิงที่ 3)
 
The National Registration Authority for Agricultural and Veterinary Chemicals (NRA)  ของรัฐบาลประเทศออสเตรเลีย  ได้ประเมินว่าเนื้อหอยเป๋าฮื้อชนิดผง มีสารสำคัญที่ชื่อว่า Glycosaminoglycans (อ้างอิงที่ 4) หรือที่เรียกกันว่า GAGs ทำหน้าที่เป็นตัวหล่อลื่นให้แก่ข้อ
มีสารสำคัญที่ชื่อว่า Glycosaminoglycans (อ้างอิงที่  4) หรือที่เรียกกันว่า GAGs ทำหน้าที่เป็นตัวหล่อลื่นให้แก่ข้อ มีงานวิจัยจากประเทสฝรั่งเศสพบว่าหอยเป๋าฮื้อ พบว่ามีปริมาณ GAGs อยู่ประมาณ 43 % ซึ่งอยู่ในรูปแบบของ Heparan sulfate, Chondroitin/dermatan sulfate and Hyaluronic acid (อ้างอิงที่ 5)
มีรายงานวิจัยถึง GAGs ในรูปแบบของ Chondroitin Sulfate กับกลุ่มคนไข้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับกระดูกข้อเข่าจำนวน 622 คน พบว่ากลุ่มที่ได้รับ Chondroitin Sulfate สามารถลดการสึกหรอของกระดูกอ่อนของข้อได้ดีกว่าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (อ้าง อิงที่ 6)

เอกสารอ้างอิง



  • Alabone. http://en.wikipedia.org/wiki/Abalone
  • คัมภีร์การเพาะเลี้ยงหอย เป๋าฮื้อ. ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย. http://mdit.pbru.ac.th/sme/Details/InvestmentExamples/I006.doc
  • หอยเป๋าฮื้อ พันธุ์น้ำอุ่น. Phuket Abalone Farm. http://www.phuketabalone.com/Abalone-Thai/farm-tropical.html
  • Notice Alabone Powder. The National Registration Authority for Agricultural and Veterinary Chemicals (NRA). NRA Gazette 9 3 September 2002 page 24.
  • In Vitro Synthesis of Proteoglycans and Collagen in Primary Cultures of Mantle Cells from the Nacreous Mollusk, Haliotis tuberculata: A New Model for Study of Molluscan Extracellular Matrix. Mar Biotechnol (NY). 2000 Jul;2(4):387-398
  • Long-term effects of chondroitins 4 and 6 sulfate on knee osteoarthritis: the study on osteoarthritis progression prevention, a two-year, randomized, double-blind, placebo-controlled trial. Arthritis Rheum. 2009 Feb;60(2):524-33




วันพุธที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2553

ไตรกลีเซอไรด์ (Triglycerides)

ไตรกลีเซอไรด์ (Triglycerides) เป็นไขมันในเลือดอย่างหนึ่ง แต่ต่างจากโคเลสเตอรอลที่คนทั่วไปรู้จักกันดี เมื่อเรากินอาหารที่มีจำนวนแคลอรีมากกว่าที่ร่างกายต้องการใช้ ร่างกายก็จะเปลี่ยนไปเป็นไตรกลีเซอไรด์ แล้วเก็บตุนไว้ในเซลล์ไขมัน ระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดที่สูงมีผลเสียต่อสุขภาพ
ผลเสียต่อสุขภาพที่ว่าคือ   แม้โคเลสเตอรอลจะไม่สูงแต่ถ้าไตรกลีเซอไรด์สูงก็จะทำให้มีความเสี่ยง ต่อการเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรคหัวใจขาดเลือด อัมพฤกษ์อัมพาต นอกจากนี้ระดับไตรกลีเซอไรด์ที่สูงมากๆ อาจจะทำให้เกิดโรคตับอ่อนอักเสบซึ่งอาจร้ายแรงถึงเสียชีวิตได้
ภาวะที่อาจจะทำให้ระดับไตรกลีเซอไรด์สูง มีดังนี้
  • ดื่มเหล้ามาก แอลกอฮอล์ทำให้ตับผลิตไตรกลีเซอไรด์มากขึ้น และทำให้การลดลงของไขมันในเลือดช้ากว่าปกติ
  • การกินอาหารที่มีแคลอรีมากเกินไป โดยเฉพาะอาหารที่มีน้ำตายมาก ส่วนเกินเหล่านี้จะกลายไปเป็นไตรกลีเซอไรด์ในร่างกาย
  • คนที่มีอายุมากขึ้น โดยธรรมชาติจะมีระดับไตรกลีเซอไรด์สูงขึ้นกว่าคนอายุน้อย
  • ยาบางอย่างที่บริโภคเข้าไป อาจทำให้ระดับไตรกลีเซอไรด์สูงขึ้น เช่น ยาขับปัสสาวะไธอาไซต์ ฮอร์โมนเพศหญิง ยาคุม กำเนิดบางชนิด
  • พันธุกรรมมีส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในการทำให้ระดับไตรกลีเซอไรด์สูง ขึ้น ถ้าท่านมีญาติที่เป็นโรคหัวใจขาดเลือดหรือมีระดับไตรกลีเซอไรด์สูง ท่านก็จะมีความเสี่ยงมากขึ้น เพราะภาวะนี้สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้
  • โรคบางอย่าง ทำให้ระดับไตรกลีเซอไรด์สูงขึ้น เช่น โรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรคต่อมธัยรอยด์ทำงานน้อย โรคไต และโรคตับ
ท่านที่สงสัยว่าระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดของท่านสูงหรือไม่ อาจตรวจได้โดยการเจาะเลือด แต่ก่อนที่จะไปตรวจต้องเตรียมตัวโดยการงดอาหารตั้งแต่มื้อเย็นก่อนวันไปตรวจ จนถึงรุ่งเช้า หมอจะสั่งเจาะเลือดตรวจ Lipid Profile ซึ่งเป็นการตรวจไขมันหลายตัว รวมทั้ง HDL Cholesterol (โคเลสเตอรอลตัวดี) LDL Cholesterol (โคเลสเตอรอลตัวร้าย) และไตรกลีเซอไรด์ด้วย การตรวจนี้จะทำให้รู้ภาพรวมของไขมันในเลือด
ระดับไตรกลีเซอไรด์ที่สูงหรือไม่สูงนั้นจัดโดยความสัมพันธ์ กับความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ และหลอดเลือด ดังนี้คือ
- ระดับสูงมาก คือ 500 มิลลิกรัมหรือมากกว่าต่อ 100 ลบ.ซม. ของเลือด
- ระดับสูง คือ 200 มิลลิกรัมต่อ 100 ลบ.ซม. ของเลือด
- ระดับกลาง คือ 150 ถึง 199 มิลลิกรัม ต่อ 100 ลบ.ซม. ของเลือด
- ระดับปกติ คือ 1498 มิลลิกรัมหรือต่ำกว่า ต่อ 100 ลบ.ซม. ของเลือด
การควบคุมระดับไตรกลีเซอไรด์ สามารถทำได้โดยการลดน้ำหนัก
ลดการกินของหวานหรืออาหารพวกน้ำตาล เช่น ของหวานพวกทองหยิบ ฝอยทอง คุกกี้ น้ำอัดลม ฯลฯ
ลดการบริโภคแอลกอฮอล์ และไขมันอิ่มตัว

การลดน้ำหนักและการออกกำลังกายโดยทำการออก กำลังกาย 30 นาที ต่อวัน ทุกวัน
หรือเกือบทุกวันสามารถช่วยลดน้ำหนักตัวและระดับไตรกลีเซอไรด์ได้
อาหารที่ได้รับการแนะนำว่าดี คือ เนื้อปลาที่อุดมด้วยกรดไขมันโอเมกา 3 เช่น แมคคอรอล เทราท์ แฮริง ซาร์ดีน ซึ่งเป็นปลาเขตหนาวจะมีกรดไขมันโอเมกา 3 มากกว่าปลาที่อยู่ในเขตร้อน แทนที่การกินเนื้อหมู เนื้อวัวที่มีไขมันอิ่มตัวมากและเป็นผลเสียต่อสุขภาพ โดยจากผลการวิจัยพบว่า กรดไขมันโอเมกา 3 ช่วยลดไตรกลีเซอไรด์และเพิ่มระดับ DHL Cholesterol ทำให้ลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจขาดเลือด และอัมพฤกษ์อัมพาตได้
ถ้าการควบคุมอาหารและการออกกำลังกายไม่ช่วยให้ระดับไตรกลีเซ อไรด์ลดลง ก็จำเป็นต้องใช้ยาลดไตรกลีเซอไรด์ ซึ่งส่วนมากจะมีราคาแพง เช่น ยากลุ่ม fibrates เป็นต้น หรือยากลุ่ม Niacin เช่น Niaspan ยาพวกนี้สามารถช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์ได้ แต่การใช้ยาควรอยู่ในวิจารณญาณของแพทย์มากกว่าที่คนไข้จะไปเที่ยวซื้อยากิน เอง พยายามออกกำลังกายและควบคุมอาหารจะดีที่สุด เพราะทำให้เกิดผลดีต่อร่างกายและจิตใจโดยรวม ที่สำคัญไม่เปลืองเงินมากด้วยครับ

คอเลสเตอรอล (Cholesterol)


คอเลสเตอรอล (Cholesterol) คือ ไขมันที่อยู่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกายมนุษย์และสัตว์ มีคุณสมบัติที่ไม่ละลายน้ำ เป็นสิ่งจำเป็นที่ช่วยให้ร่างกาย ทำงานได้ เพราะนอกจากอยู่ในเลือดแล้ว ยังครอบคลุมทุกส่วนในร่างกาย เป็นส่วนหนึ่งของเนื้อเยื่อของเซลล์จำนวนมากมายนับไม่ถ้วน และมีมากในสมอง กับไขสันหลัง ซึ่งในไขสันหลัง และสมองนั้นมีคอเลสเตอรอลเป็นส่วนประกอบถึง 1 ใน 4 นอกจากนี้ยังพบมากตามเนื้อ และใต้ผิวหนัง คนอ้วนจะมีไขมันตามบริเวณดังกล่าวมากกว่าคนผอม
คอเลสเตอรอลนั้นถูกผลิตขึ้นในตับ แล้วถูกส่งไปยังส่วนต่างๆ ให้แก่เซลล์ โดยผ่านทางเส้นเลือด ซึ่งเซลล์จะรับไปในจำนวนที่มันต้องการ แล้วส่วนที่เหลือที่เกินความต้องการจะยังคงติดกรังอยู่ในเส้นเลือด ขัดขวางการไหลเวียนของกระแสเลือด ซึ่งก่อให้เกิดแนวโน้มเป็นโรคหลอดเลือดแข็งตัว แต่หากเกิดกับเส้นเลือดแดงที่หล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ ก็ปรากฎอาการโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
คอเลสเตอรอลนั้นจะสะสมอยู่ตามผนังหลอดเลือดแดงอย่างเงียบๆ ไม่มีอาการเจ็บปวดแต่อย่างใด เสมือนกับมัจจุราชที่ก้าวเท้าเข้าหาอย่างเงียบๆ
แต่ทว่าตัวคอเลสเตอรอลนั้น ใช่ว่าจะส่งผลเสียแก่ร่างกายเสมอไป คอเลสเตอรอล นั้นได้แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ ชนิดดีและชนิดไม่ดี
ชนิดดีเรียกว่า HDLs (High Density Lipoproteins) ได้จากอาหารและร่างกายผลิตขึ้น เพื่อนำไปใช้ ชนิดนี้จะช่วยขับ คอเลสเตอรอลที่เกินต้องการออกจากร่างกายด้วย
ชนิดไม่ดีเรียกว่า LDLs (Low Density Lipoproteins) ได้จากอาหารเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ เป็นชนิดที่ร่างกายไม่ต้องการ
ดังนั้นเวลาดูค่า หรือระดับของ คอเลสเตอรอล ในร่างกายควรที่จะดูที่สัดส่วนของ HDL กับ LDL จะดีกว่า
และเป็นเรื่องที่น่าแปลก จากการศึกษา พบว่ามีจำนวนสัดส่วนที่มากพอสมควร ของผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด กลับมีระดับ คอเลสเตอรอล ในร่างกายต่ำหรือเป็นปกติ ซึ่งชี้ให้เห็นว่าสาเหตุของโรคหัวใจและหลอดเลือดไม่ได้เกิดจากไขมัน คอเลสเตอรอล เองโดยตรง แต่สิ่งที่เป็นผลร้ายกับร่างกายคืออนุภาคออกซิไดซ์ของ LDL หรือ คอเลสเตอรอล ที่ไม่ดีนั่นเอง

วันนี้หลายคนคงได้เข้าใจแล้วว่า จริงๆ แล้ว คอเลสเตอรอล ที่พูดถึงกันอยู่ทุกวันนั้นคืออะไร และในตอนต่อไป เราจะมาพูดถึง HDL กับ LDL อย่างละเอียด และเห็นภาพกว่านี้กัน

น้ำมันจมูกข้าวและรำข้าว


ประโยชน์ของน้ำมันรำข้าวจมูกข้าว

1. ป้องกันโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดตีบตัน ในน้ำมันรำข้าวสกัดมี
Gamma-Oryzanol,Phytosterol,Tocopherol,
Tocotrienol,Oleic Acid (Omega 9) ซึ่งสารดังกล่าวข้างต้น
- ช่วยลดคลอเลสเตอรอลชนิดที่ไม่ดี (LDL-Low Density Lipoprotein)
- ช่วยลดไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride)
- ช่วยเพิ่มระดับของ HDL.(High Density Lipoprotein) ซึ่งเป็นคลอเรสเตอรอลที่มีประโยชน์ต่อร่างกา มีผลทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตในร่างกายทำงานเป็นปกติ อวัยวะต่างๆ เช่น หัวใจ,สมอง,ตับ,ไต ฯลฯทำงานได้ดีขึ้น ทำให้สามารถป้องกันการเกิดโรคหัวใจ และกลุ่มโรคหลอดเลือดตีบตันได้ เช่น โรคหัวใจขาดเลือด,หัวใจวาย ,อัมพาต,อัมพฤกษ์ เป็นต้น

2. ป้องกันโรคเบาหวาน ในน้ำมันรำข้าวสกัดมี ธาตุโครเมียม ซึ่งธาตุนี้เมื่อร่างกายดูดซึม
เข้า สู่ระบบไหลเวียนโลหิต จะทำหน้าที่ในการจับฮอร์โมนอินซูลิน ทำให้ฮอร์โมนอินซูลิน คงตัวได้นานเกาะตามเซลล์ต่างๆของกล้ามเนื้อ ทำให้ฮอร์โมนอินซูลินมีประสิทธิภาพสูงขึ้น มีผลทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวานควบคุมได้ง่ายขึ้น

3. ป้องกันโรคมะเร็ง ในน้ำมันรำข้าวสกัดมี กลุ่มวิตามินอี
(Tocopherol,Tocotrienol), สเตอรอลจากพืช (Phytosterol),แกมม่า-โอไรซานอล (Gamma-Oryzanol) ซึ่งสารดังกล่าวข้างต้น มีสารต้านอนุมูลอิสระ (Anti-Oxidant) ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคมะเร็ง

4. ป้องกันโรคสายตา ในน้ำมันรำข้าวสกัดมี โปรวิตามินเอ - เบต้าแคโรทีน ซึ่งสามารถป้องกันโรคที่เกิดจากการขาดวิตามินเอได้ โดยเฉพาะโรคน้ำตาแห้ง เป็นต้น นอกจากนี้ยังบำรุงเส้นผมให้ดกดำเป็นเงางามและมีสุขภาพเล็บที่ดี

5. ป้องกันโรคสมองเสื่อม ในน้ำมันรำข้าวสกัดมี Omega3 ,กลุ่มวิตามินอี,แกมม่า-โอโรซานอล,
Phospholipid ซึ่งสารดังกล่าวข้างต้น มีคุณสมบัติรักษาสมดุลของระบบประสาท บำรุงสมองเสริมความจำ ป้องกันโรคสมองเสื่อม และโรคอัลไซเมอร์

6. บำรุงผิวพรรณ ในน้ำมันรำข้าวสกัดมี Linoleic Acid (Omega 6),Squalene (Ceramide Group)
ซึ่ง เป็นส่วนประกอบสำคัญของชั้นผิวหนัง ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ทำให้ผิวยืดหยุ่นลดริ้วรอย ป้องกันรังสี UV จากแสงแดด และช่วยปรับสภาพผิว ทำให้ดูขาวกระจ่างใส

7. ทำให้นอนหลับสบาย ในน้ำมันรำข้าวสกัดมีสารกระตุ้นให้ร่างกายสร้างสารเมลาโทนิน (Melatonin) ซึ่งช่วยทำให้นอนหลับสบาย ,ช่วยลดความเครียด

8. อุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหารที่ช่วยบำรุงร่างกาย ในน้ำมันรำข้าวสกัดมี
วิตามิน และแร่ธาตุมากมาย เช่น โครเมียม,แมกนีเซียม,แมงกานีส,สังกะสี,ซีลิเนียม,เหล็ก,โปแตสเซียม ซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของระบบหัวใจ ,ระบบประสาท ,ระบบสมอง และอวัยวะอื่นๆ

9.ทำ ให้ระบบไหลเวียนโลหิตดีขึ้น ในน้ำมันรำข้าวสกัดมี สาร Policosanol (โพลิโคซานอล) ซึ่งสารตัวนี้ ทำหน้าที่เป็น Anti-platelet agent ซึ่งเป็นสารป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด ช่วยให้ผู้ป่วยโรคหัวใจ และโรคหลอดเลือด มีระบบไหลเวียนโลหิตดีขึ้น

*** ข้อควรระวัง
เวลา เลือกซื้อให้ลองกัดชิมน้ำมันรำข้าจมูกข้าวที่ดีต้องมีรสหวาน ไม่เหม็นหืนเพราะขั้นตอนการผลิตเป็นหัวใจสำคัญ คือ ต้องนำข้าวที่ผ่านการขัดสีไม่เกิน 24 ชั่วโมงมาผลิต(มีเครื่องตรวจความสดของรำและจมูกข้าว)

วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ยา อาหารเสริม ที่ไม่ควรกินคู่กัน

 
หากคุณมั่นใจว่าผู้ป่วยเลือดจาง ต้องกินอาหารเสริมในกลุ่มธาตุเหล็กให้มาก "คุณคิดผิด" หมอกฤษดาแจกแจงคู่ยา "มิตร-ศัตรู" ให้เข้าใจกันชัดๆ

“Good things come in pair” ดังวลีฝรั่งนี้ที่บอกว่าของทุกอย่างมีคู่แฝดอยู่เสมอ อาจเป็นแฝดเหมือนหรือแฝดต่างก็ได้ ซึ่งก็พ้องกับทางพระที่ว่า กุสลาธัมมา อกุสลาธัมมา และโลกธรรมแปดที่เล่าถึงคู่แห่งสัจธรรมในโลกนี้ มีสุขแล้วก็มีทุกข์ มีสรรเสริญก็ย่อมมีนินทา มีลาภก็ย่อมมีเสื่อมลาภได้ดังนี้เป็นต้น

ดังนั้น ในเรื่องของโอสถรักษาโรคก็ย่อมต้องมีคู่แฝดของมัน ที่ต้องมีทั้งแฝดที่ดีและแฝดที่ร้ายคล้ายเทวากับซาตานซึ่งเคยมีกรณีที่ถึง แก่ชีวิตมาแล้ว ซึ่งโดยมากมักเกิดจาก “ความไม่รู้” ในฤทธิ์อันไพศาลของยาแต่ละเม็ดที่กินอยู่ โดยเราจะค่อยมาดูกันไปทีละแฝดครับ
แฝดที่ดี

วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ท้องเสีย! จุลินทรีย์ดี-ร้ายไม่สมดุล

‘จุลินทรีย์’ สิ่งมีชีวิตที่อยู่ในร่างกายของเรา และอย่างที่เคยกล่าวไว้ว่าจุลินทรีย์มีทั้งชนิดที่ให้คุณและให้โทษ โดยต้องรักษาให้จำนวนจุลินทรีย์สองชนิดนั้นอยู่ในระดับสมดุลแล้วร่างกายจะ แข็งแรง

และวันนี้ ‘ภาษาหมอ’ มีจุลินทรีย์ตัวดีมาแนะนำให้รู้จัก อย่าง ‘บิฟิโดแบคทีเรีย’ อาศัยอยู่ในลำไส้ ช่วยป้องกันสารพิษดูดซึมผ่านเข้าสู่ร่างกาย สร้างกรดแลคติคและกรดไขมันห่วงโซ่สั้นที่ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ตัวที่ทำให้คนเราเกิดอาการท้องเสีย เช่น E.Coli, Clostridium perfringens, Salmonella spp. และยังช่วยกระตุ้นการสร้างวิตามิน เพิ่มการดูดซึมวิตามินและแร่ธาตุเข้าสู่ร่างกาย 

อีกตัวมีชื่อว่า ‘แลคโตบาซิลไล’ คอยกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ แย่งอาหารของจุลินทรีย์ตัวร้ายทำให้ไม่สามารถก่อโรคได้

แต่ปัญหาสำคัญอยู่ที่ว่า เมื่อคนเรามีอายุมากขึ้น จุลินทรีย์ตัวดีจะลดจำนวนน้อยลงกว่าตัวร้าย จึงทำให้ผู้สูงอายุมักมีปัญหาเรื่องการขับถ่าย อุจจาระสีคล้ำและเหม็นมาก รวมทั้งภูมิต้านทานลดลง ทำให้ป่วยเป็นโรคต่าง ๆ ง่าย

เมื่อเป็นเช่นนั้น ‘พรีไบโอติก’ หรือกลุ่มหนึ่งของอาหารฟังก์ชั่น มีหน้าที่มากกว่าอาหารที่ให้ความอิ่ม จึงเข้ามาเป็นตัวช่วยคงสภาพความสมดุลของจุลินทรีย์ เพราะมีคุณสมบัติป้องกันและรักษาโรค เนื่องจากพรีไบโอติกมีสารที่ร่างกายย่อยไม่หมด หรือลำไส้ส่วนบนไม่สามารถย่อยได้จึงถูกส่งต่อไปยังลำไส้ใหญ่เพื่อให้เป็น อาหารของจุลินทรีย์ตัวดี ไม่ให้ถูกลดจำนวนลง

พรีไบโอติกซึ่งกำลังได้รับความนิยม คือ อินนูลิน และโอลิโกฟรุกโตส พบมากในรากชิโครี อาร์ติโชก หัวหอม หัวหอมใหญ่ ต้นหอม กระเทียม ถั่วเหลือง หน่อไม้ฝรั่ง มะเขือเทศ หรือกล้วย 


บทความจาก เดลินิวส์ วันอังคาร ที่ 29 ธันวาคม 2552

ตั้งค่าระบบขับถ่าย

ดูและระบบขับถ่ายเราให้ดีสุขภาพก็จะดีด้วย โดยหลังจากการรับประทานอาหารสู่ระบบการย่อยที่เริ่มจากปาก กระเพาะ ลำไส้เล็ก ไปถึงลำไส้ใหญ่ อวัยวะยาว 5-7 ฟุต รับหน้าที่ย่อยอาหารชนิดที่ย่อยไม่ได้ในอวัยวะก่อนหน้า หากเป็นน้ำหรือสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายก็จะถูกดูดซับไว้ และในทางตรงกันข้ามหากเป็นกากหรือของเสียก็จะถูกขับออกจากร่างกายภายใน 1-2 วัน แต่ถ้ามีอาการท้องผูกหรือไม่สามรถขับถ่ายได้ทุกวันเป็นกิจวัตร ของเสียคงค้างจากการย่อยสลายเหล่านั้นจะบูดเน่า กลายเป็นสารพิษที่ถูกดูดกลับเข้ากระแสเลือด ส่งผลให้ร่างกายอ่อนแอ นานวันเข้าอาจเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ สำหรับสัญญาณเตือนจากร่างกายที่บ่งบอกว่า คุณควรดูแลระบบขับถ่ายเสียใหม่ คือ ระบบ ขับถ่ายไม่ดี ท้องผูก เป็นริดสีดวงทวาร ปวดท้อง ท้องเสียบ่อย ลำไส้อักเสบ ผิวพรรณหมองคล้ำ ไม่สดใส เป็นผดผื่น แพ้ง่าย เกิดแผลร้อนในบริเวณช่องปากเป็นประจำ มีกลิ่นปาก-กลิ่นตัว รู้สึกเบื่ออาหาร ท้องอืดและผายลมบ่อยครั้ง รวมทั้งปวดศีรษะ รู้สึกหวานๆ ร้อนๆ คล้ายจะเป็นไข้ และภูมิต้านทานต่ำ 


ในความเป็นจริงนั้น ภายในลำไส้จะมีจุลินทรีย์มากกว่า 400 ชนิด เป็นล้านล้านตัว ที่มีทั้งให้ประโยชน์และก่อให้เกิดโทษแก่ร่างกาย สำหรับชนิดที่มีประโยชน์ เช่น บิฟิโดแบคทีเรีย หรือแลคโตบาซิลไล สามารถช่วยป้องกันสารพิษไม่ให้ร่างกายดูดกลับสู่กระแสเลือด รวมทั้งคอยกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกัน แย่งอาหารจากจุลินทรีย์ตัวร้าย โดยจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์จะลดจำนวนลงเมื่อมีอายุมากขึ้น รวมทั้งปัจจัยอื่น ๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ก็มีสารอาหารบางอย่างช่วยเพิ่มจำนวนจุลินทรีย์ตัวดีได้
 
 บทความจาก เดลินิวส์ วันจันทร์ ที่ 28 ธันวาคม 2552

วันศุกร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2553

คลอโรฟิลส์ Cholrophyll



คลอโรฟิลล์ ( Chlorophyll ) เป็นสารสีเขียวที่พบในพืชชั้นสูง และสาหร่ายสีเขียว ( Chlorella ) คลอโรฟิลล์ มีโครงสร้างของโมเลกุลจะคล้ายกับฮีม ( heme ) ซึ่งเป็นสารที่ร่างกายนำไปใช้ในการสร้างฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง ต่างกันที่สูตรโมเลกุล ของธาตุที่อยู่ตรงกลาง คือ คลอโรฟิลล์เป็นธาตุแมกนีเซียม ( Mg ) ขณะที่ฮีมเป็นธาตุเหล็ก ( Fe )

อย่างที่ทราบกันว่า คลอโรฟิลล์มีในผักใบเขียว นักวิทยาศาสตร์ ได้ค้นพบมานานแล้ว ว่า การรับประทานผัก สามารถลดอุบัติการณ์ของมะเร็งจำนวนมาก ซึ่งส่วนมากพบว่า กลไกต้านมะเร็งนี้เกิดจาก การต้านอนุมูลอิสระ เมื่อแยกสารต้านอนุมูลอิสระเหล่าออกมาวิจัย  ก็พบว่า สามารถยับยั้งการก่อมะเร็งได้จริง แต่ก็มีผู้สงสัยว่า ถ้าเราสกัดแยกแต่คลอโรฟิลล์ออกมา จะยังมีส่วนช่วยในการลดมะเร็งหรือไม่  สารสกัดคลอโรฟิลล์ที่สามารถสกัดแยกออกมานั้น ในรูปของที่รับประทานเป็นอาหาร ( Food grade ) มีความปลอดภัย และรับประทานกันเป็นอาหารสุขภาพทั่วโลก เป็นชนิดที่ละลายในน้ำได้  คือเป็นองค์ประกอบของธาตุ โซเดียม และคอปเปอร์ ( ซึ่งทั้งสองธาตุนี้ก็เป็นสารอาหารที่มีประโยชน์ในร่างกายของเรา )  กับอนุพันธุ์ของ คลอโรฟิลล์ ที่มีชื่อว่า คลอโรฟิลิน ( Chlorophyllin ) เมื่อทำการวิจัยก็พบว่า คลอโรฟิลินมีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระเช่นกัน 

Slimm-Fitt (สลิมม์-ฟิตต์) ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร สารสกัดจากส้มแขก ผสม แอล-คาร์นิทีน และโครเมียม ชนิดผง ตรา กิฟฟารีน



ส้มแขก( Garcenia Cambogia)
เป็นพืชพื้นบ้านดั้งเดิมของไทย ที่นิยมใช้ในการประกอบอาหารมาเป็นเวลานานแล้ว ลักษณะของผลส้มแขก จะคล้ายฟักทองขนาดเล็ก มีมากทางภาคใต้ ซึ่งมีการนำมาปรุงเป็นอาหารโดย ใช้เพิ่มรสเปรี้ยวให้อาหาร(ดูรูปประกอบ)

หลินจือ Ling Zhi



ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ganoderma lucidum (Fr.) Karst
ชื่อพ้อง : Polyporus lucidum Fr.
วงศ์ : Ganodermataceae
ชื่ออื่นๆ : เห็ดจวัดงู, เห็ดนางกวัก, เห็ดหมื่นปี, เห็ดอมตะ, เห็ดกะด้าง, เห็ดไม้
ชื่อสามัญ : Ling Zhi

ตำนานความเชื่อเกี่ยวกัยเห็ดหลินจือ 

มื่อเอ่ยถึงเห็ดหลินจือตามตำนานในคัมภีร์โบราณของจีน "เสินหนงเปินเฉ่า" กล่าวไว้ว่า เห็ดหลินจือเป็นเจ้าแห่งชีวจิต (Spiritual essence) มีพลังมหัศจรรย์ บำรุงร่างกายใช้เป็นยาอายุวัฒนะในการยืดอายุออกไปให้ยืนยาว ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง และยังสามารถรักษาโรคต่างๆ ได้อย่างกว้างขวาง
ชาวจีนโบราณยกย่องให้เห็ดหลินจือว่าดีที่สุดในหมู่สมุนไพรจีน นอกจากมีสรรพคุณดีแล้วยังปลอดภัยไม่มีพิษใดๆ ต่อร่างกาย
ชาวจีน โบราณยกย่องให้เห็ดหลินจืด เป็นเห็ดสิริมงคลสัญลักษณ์ แห่งชีวิตและโชคลาภ ดังจะเห็นได้จากบรรดารูปปั้นเทพเจ้า "ฮก ลก ซิ่ว" ที่มีความหมายถึง ความเป็นสิริมงคลทั้งสิ้น จะเห็นได้ว่ามีเทพเจ้าบางองค์ถือดอกเห็ดหลินจืออยู่ในมืออุปมา ดังคุณธรรมอันสูงส่งแก่ผู้มีไว้ครอบครอง

กวาวเครือแดง Butea supeba



กวาว เครือแดง ( Butea supeba ) เป็นกวาวเครือสำหรับบุรุษเพศ โดยมีสรรพคุณไปในด้านบำรุงร่างกาย และสุขภาพให้แข็งแรง เป็นสมุนไพรอายุวัฒนะ ส่งเสริมสมรรถนะทางเพศ

สรรพคุณกวาวเครือ ในตำราแพทย์แผนโบราณ
ตำรา แผนโบราณได้กล่าว ถึงสรรพคุณของกวาวเครือไว้ในด้านบำรุงร่างกาย โดยรวม ทั้งกวาวเครือขาวและแดงไว้อย่างเดียวกัน ดังนี้ " คนอ่อนเพลีย ผอมแห้ง แรงน้อย นอนไม่หลับ กินไม่ได้ กินยานี้ 20-30 วัน โรคอ่อนเพลียหายสิ้น นอนหลับสบาย เดินไปมาได้ตามปกติ กวาวเครือบำรุงโลหิต บำรุงสมอง บำรุงกำลัง ชายกินแล้วนมแตกพานแข็งเหมือนเด็กหนุ่ม มีกล้าม เนื้อหนังเต่งตึง ท่านห้ามเด็กหนุ่มสาวกิน ตำผงกินกับน้ำนมวัว หัวคิดสมองปลอดโปร่ง ทรงจำตำราโหราศาสตร์ได้ถึง 3 คัมภีร์ เนื้อหนังจะนิ่มนวลดุจเด็ก 6 ขวบ อายุจะยืนถึง 3,000 กว่าปี โรคาพยาธิจะไม่มาเบียดเบียนเลย รับประทานกับน้ำข้าวที่เช็ดไว้ให้เปรี้ยว จะมีเนื้อหนังนิ่มนวลดุจเทพธิดา

วันอังคารที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2553

กาวเครือขาว



กวาวเครือขาว  ( Pueraria mirifica ) เป็นสมุนไพรที่กล่าวได้ว่า เป็นราชินีสมุนไพรไทยโดยแท้  มีชื่อเสียงมานานนับร้อยปี สรรพคุณโดยรวมจะเน้นไปใน การทำให้ผู้สูงอายุ โดยเฉพาะสตรีวัยทอง  กลับสดชื่น กลับมาเป็นสาว นอกจากนี้ กวาวเครือยังสนับสนุนความเป็นผู้หญิง ไปในทำนองให้สวยงามขึ้น และบำรุงอวัยวะภายใน ไปในทางที่ ส่งเสริมวัยเจริญพันธ์

สรรพคุณกวาวเครือ ในตำราแพทย์แผนโบราณ
     ตำราแผนโบราณได้กล่าวไว้ดังนี้ " คนอ่อนเพลีย ผอมแห้ง แรงน้อย นอนไม่หลับ กินไม่ได้  กินยานี้ 20-30 วัน โรคอ่อนเพลียหายสิ้น นอนหลับสบาย  เดินไปมาได้ตามปกติ  กวาวเครือบำรุงโลหิต บำรุงสมอง บำรุงกำลัง หญิงอายุ 70-80 ปี  กินแล้วอ้วนท้วนสมบูรณ์ กลับมีระดูอย่างสาว นมมีไตแข็งขึ้นอีก  ชายกินแล้วนมแตกพานแข็งเหมือนเด็กหนุ่ม มีกล้าม เนื้อหนังเต่งตึง ท่านห้ามเด็กหนุ่มสาวกิน   ตำผงกินกับน้ำนมวัว หัวคิดสมองปลอดโปร่ง    ทรงจำตำราโหราศาสตร์ได้ถึง 3 คัมภีร์  เนื้อหนังจะนิ่มนวลดุจเด็ก  6  ขวบ  อายุจะยืนถึง 3,000 กว่าปี  โรคาพยาธิจะไม่มาเบียดเบียนเลย  รับประทานกับน้ำข้าวที่เช็ดไว้ให้เปรี้ยว จะมีเนื้อหนังนิ่มนวลดุจเทพธิดา รับประทานกับน้ำมันเนยหรือน้ำผึ้ง จะอายุยืน ท่องโหราศาสตร์ได้ 3 คัมภีร์  จะรับรองมาตุคามได้ถึงพันคน ( น่าจะเป็นกวาวเครือแดง ) รับประทานกับนมเปรี้ยว อายุยืน ผมไม่ขาว  ฟันไม่หลุด  เนื้อหนังไม่ย่น รับประทานกับตรีผลา (มะขามป้อม สมอไทย สมอพิเภก)  จักษุที่มัวหรือมีฝ้า แลไม่เห็นก็จะเห็น แช่นมควายทาผม ผมจะงอกดี ผมขาวจะดำ ทาผมด้วยน้ำมันงา ผมจะไม่ขาว เนื้อหนังจะไม่ย่น โรคาพยาธิทุกจำพวกจะไม่มีเลย  แช่น้ำนมทา คนที่เสียจักษุโดยมีฝ้าปิด 6 เดือน  จะกลับเห็นดีตามเดิม ( อ้างอิงที่ 1 )

สารสำคัญในกวาวเครือ
สาร สำคัญ ที่พบในกวาวเครือขาวมีมากมาย ที่เด่น ๆ ได้แก่  miroestrol, daidzein, genistin, puerarin, สารต่าง ๆ เหล่านี้หลายชนิดมีคุณสมบัติเป็น ไฟโตเอสโตรเจน (Phytoestrogen) คือเป็นเอสโตรเจนที่ได้จากพืช และออกฤทธิ์เช่นเดียวกับเอสโตรเจนทุกประการ โดยออกฤทธิ์ที่ตัวรับ  ( receptor ) เดียวกับเอสโตรเจน สารไฟโตรเอสโตรเจน พบมากในถั่วเหลือง และมีรายงานมากมายว่า สามารถมีฤทธิ์ลดการสร้างอนุมูลอิสระ  ( Anti- oxidant )  ซึ่งอาจต้านมะเร็งและช่วยในโรคหัวใจ และมีรายงานว่าการทานธัญพืชและพืชตระกูลถั่วเหลืองสามารถลดอุบัติการณ์ มะเร็งเต้านม ต่อมลูกหมาก และลำไส้ใหญ่ และช่วยให้โรคหัวใจดีขึ้น แต่ทั้งนี้ก็ยังไม่อาจสรุปได้ว่าการใช้กวาวเครือสามารถจะลดมะเร็งหรือ ป้องกันมะเร็ง ได้ แต่ก็มีงานวิจัยว่ากวาวเครือขาวไม่มีผลส่งเสริมต่อการเจริญเติบโตของเซลล์ มะเร็งเต้านมหลายชนิด   และยังอาจยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมบางชนิดได้ด้วย