วันพุธที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2552

กรดผลไม้ AHA (Alphahydroxy acid)


  
กรดผลไม้หรือ AHA ซึ่งย่อมาจาก Alpha Hydroxy Acid เป็นกรดที่ได้มาจากหลายอย่าง มีฤทธิ์ทำให้ผิวลอกเล็กน้อย กรดเหล่านี้ส่วนใหญ่มาจากผลไม้ จึงเรียกง่ายๆ กันว่า กรดผลไม้หรือ fruit acid นอกจากนั้นก็ยังพบ AHA ในขิง อ้อย นม น้ำมะเขือเทศ และเหล้าไวน์ และยังสามารถผลิต AHA ในห้องปฏิบัติการด้วย

    กรดผลไม้ที่รู้จักกันดีที่สุดคือ กรดไกลคอลิก (Glycolic acid) ซึ่งเตรียมได้จาก น้ำอ้อยและองุ่นดิบ ที่รู้จักรองลงมาคือกรดแล็คติก (lactic acid) ซึ่งมาจากน้ำมะเขือเทศ และนมเปรี้ยว นอกจากนั้นก็ยังมีกรดผลไม้ที่เตรียมจากแอปเปิลคือกรดมาลิก (Malic acid) เตรียมจากองุ่นและไวน์คือ กรดตาร์ตาริก (Tartaric acid) และเตรียมจากส้มและสับปะรดคือ กรดซิตริก (Citric acid)

    กรดผลไม้ที่รู้จักกันดีที่สุดและมีงานวิจัยต่อเนื่องกันมานานนับ 20 ปี คือ กรดไกลคอลิก และกรดแล็คติก จึงแนะนำให้ใช้กรดพวกนี้เพราะรู้จักกันมานานแล้ว




    ทำไมกรดผลไม้จึงช่วยให้ผิวสวย

    กรดผลไม้ออกฤทธิ์โดยการซึมผ่านผิวหนังชั้นขี้ไคลลงไป และทำให้เซลล์ผิวหนังชั้นนี้ หลุดลอกจากกัน ทำให้ผิวสดใสและผิวหนังด้านล่างจะงอกขึ้นมาใหม่ได้ บางครั้งเมื่อทากรดผลไม้ อาจเกิดอาการแสบคันหรือผิวแดงซึ่งจะหายไปใน 20 นาที แต่ถ้าอาการเหล่านี้ไม่หาย ก็ให้หยุดการใช้เครื่องสำอางประเภทนี้จนผิวหายเป็นปกติ แล้วถ้าอยากลองใช้เครื่องสำอาง กลุ่มนี้ใหม่ก็ให้ใช้ชนิดที่มีความเข้มข้นของกรดผลไม้ต่ำกว่าเดิม

    มีงานวิจัยของมหาวิทยาลัยโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา โดยแพทย์ผิวหนังใช้กรด AHA ความเข้มข้นร้อยละ 12 ทาผิวหนังบนใบหน้าซีกเดียวของอาสาสมัคร 21 ราย โดยทายา วันละ 2 ครั้ง เมื่อเวลาผ่านไป 8 สัปดาห์ นักวิจัยสรุปว่าผิวหนังด้านที่ทายา AHA ในอาสาสมัคร 18 ราย นุ่มและเนียนขึ้นเล็กน้อย และผิวหนังด้านที่ทายาในอาสาสมัคร 15 ราย มีริ้วรอยเหี่ยวย่นจางลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับด้านที่ไม่ได้ทายา และพบว่า อาสาสมัคร 17 ใน 21 รายนี้ขอใช้กรดผลไม้ต่อไปเมื่อสิ้นสุดการทดลองแล้ว นอกจากนั้นยังมีงานวิจัยแสดงว่ากรดผลไม้ช่วยให้ฝ้าและกระ ตลอดจนรอยด่างดำ ของใบหน้าจางลงได้บ้างและยังช่วยรักษาสิวได้

    ส่วน BHA หรือ beta hydroxy acid ตัวที่สำคัญที่สุดคือ กรดซาลิซิลิก (salicylic acid) ซึ่งได้จากเปลือกต้นไม้ เชื่อว่า BHA ก็ช่วยให้ผิวใสขึ้นได้บ้าง และยังอาจรักษาสิวได้ สำหรับกรดซาลิซิลิกนี้ ถ้าใช้ในความเข้มข้นสูงนำมาใช้รักษาหูดและตาปลา

    การใช้กรดผลไม้และทำให้ผิวหน้าลอกบ่อยๆ นี้ ในทางตรงข้ามอาจก่ออันตรายต่อผิวหนัง เพราะเซลล์ชั้นนอกสุดหลุดลอกออกไป ทำให้ผิวได้รับผลเสียจากรังสียูวีในแสงแดด ผู้ที่ใช้กรดผลไม้จึงต้องทายากันแดดและหลบเลี่ยงการโดนแสงแดดจัด

    วิธีเลือกเครื่องสำอางผสมกรดผลไม้

    เมื่อเลือกซื้อเครื่องสำอางประเภท AHA และ BHA ผู้บริโภคต้องทราบ 2 เรื่องนี้ เรื่องแรกคือ ความเข้มข้นของตัวกรดและเรื่องที่ 2 คือ ค่ากรดด่าง (pH) ของผลิตภัณฑ์นั้น

    เครื่องสำอาง AHA ส่วนใหญ่มีความเข้มข้นของกรด AHAตั้งแต่ร้อยละ 1-15 ความเข้มข้นของ AHA ที่ต่ำที่สุดที่ทำให้ผิวลอกได้ คือร้อยละ 4 ถ้าความเข้มข้นสูงถึงร้อยละ 8-15 ผิวจะลอกมาก และอาจทำให้ผิวระคายเคือง

    สำหรับค่าความเป็นกรดด่างนี้ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีค่าความเป็นกรดด่างระหว่าง 3-5 ถ้าค่าต่ำกว่านี้ผลิตภัณฑ์จะมีฤทธิ์เป็นกรดมากและทำให้ระคายเคืองสูง ถ้าค่า pH สูง ผลิตภัณฑ์จะมีฤทธิ์เป็นด่าง ทำให้ผิวไม่ลอก คือใช้แล้วก็ไม่ได้ผลนั่นเอง ก่อนซื้อควรดูฉลาก เพื่อตรวจสอบส่วนผสม ถ้าพบว่าชื่อของ AHA เป็นส่วนผสมที่อยู่ท้ายๆ ของรายชื่อสารเคมีทั้งหมด อาจแสดงว่าผลิตภัณฑ์ยี่ห้อนั้นมีส่วนผสมของ AHA น้อยเกินไปจนไม่ออกฤทธิ์ ในทางตรงข้าม ถ้าชื่อของ AHA ปรากฏเป็นอันดับแรกของรายชื่อ ก็แสดงว่าอาจมี AHA สูงเกินไป จึงควรปลอดภัยไว้ก่อนด้วยการเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีชื่อ AHA เป็นลำดับรองหรือกลางบัญชีรายชื่อ ถ้าผลิตภัณฑ์ใดมีส่วนผสมของทั้ง AHA และ BHA ก็ต้องแน่ใจว่าทั้ง 2 นี้ไม่ได้มีความเข้มข้นมาก ด้วยกันทั้งคู่ เพราะจะยิ่งเสริมฤทธิ์ทำให้ผิวระคายเคืองมาก เนื่องจากกรดผลไม้ทำให้ผิวลอก และระคายเคืองได้ง่าย จึงต้องเลือกผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีแอลกอฮอล์ผสมอยู่มากเพราะจะยิ่งทำให้ ผิวระคายเคือง ควรเลือกซื้อกระปุกที่เล็กที่สุดมาลองใช้ดูก่อน ถ้าเป็นไปได้ลองเตรียม กระปุกสะอาดไปเองและขอแบ่งผลิตภัณฑ์มาลองใช้ดูก่อน ขั้นแรกอาจลองทาดู ที่ท้องแขนสัก 1 สัปดาห์ ถ้าผิวไม่แดงไม่ลอกจึงค่อยลองใช้กับใบหน้า

    เมื่อเริ่มใช้เครื่องสำอางกลุ่มนี้ ต้องจำไว้ว่าผิวจะลอกและระคายเคืองง่ายอยู่แล้ว จึงต้องงดเว้นการใช้สบู่ที่ผสมเม็ดขัดถูใบหน้า งดการใช้ผ้าขนหนู ฟองน้ำ ใยบวบ หรือสิ่งใดๆ ก็ตามมาขัดถูใบหน้า

    เครื่องสำอางกรดผลไม้มีหลายรูปแบบได้แก่ ครีม เจล และโลชั่น ถ้ามีผิวแห้ง แนะนำให้ใช้ในรูปของครีม แต่ถ้าผิวมันอาจลองใช้เจรหรือโลชั่น ในคนผิวปกติทั่วไป แนะนำให้ใช้ AHA เริ่มต้นที่ความเข้มข้นร้อยละ 7-8 ทาต่อเนื่องกัน 4-6 สัปดาห์ แล้วจึงอาจใช้ความเข้มข้นสูงกว่านี้


    ข้อควรปฏิบัติในการใช้เครื่องสำอางกรดผลไม้ (AHA)

            1. ทำความสะอาดผิวหน้างให้หมดจดก่อนทาเครื่องสำอาง ล้างคลีนเซอร์ให้เกลี้ยงเกลา เพราะถ้ายังมีตกค้างจะต้านฤทธิ์ของกรดผลไม้

            2. หลังล้างหน้ารอให้หน้าแห้งก่อน 15 นาที แล้วจึงทาเครื่องสำอางนี้ เพราะถ้าผิวเปียกชื้นแล้วทาเครื่องสำอางกรดผลไม้ ผิวจะระคายเคืองได้ง่าย

            3. ค่อยๆ ป้ายเนื้อครีมทีละขนาดเท่าเม็ดถั่ว เกลี่ยเบาๆ ไม่ต้องนวด ไม่ต้องดึง ไม่ต้องดันผิวหนัง ครีมจะซึมและแห้งไปเอง

            4. ทาเครื่องสำอางนี้เริ่มต้นวันละ 1 ครั้งก่อนนอน ถ้าผิวแห้งหรือลอกมาก อาจลดมาเป็นทาวันเว้นวัน ถ้ายังลอกอยู่อาจต้องใช้ชนิดที่มีความเข้มข้นต่ำกว่านี้

            5. ถ้าทาเครื่องสำอางครบ 4-6 สัปดาห์แล้ว ผิวยังไม่และดูดีขึ้น และไม่มีปัญหาผิวแห้งและระคายเคือง อาจเพิ่มการทาครีมเป็นวันละ 2 ครั้ง หรือใช้ชนิดที่มีความเข้มข้นสูงกว่านี้

            6. ต้องใช้ยากันแดดร่วมไปด้วย โดยเป็นยากันแดดที่มี SPF อย่างต่ำ 15

            7. ปัจจุบันมีเครื่องสำอางกรดผลไม้ผลิตแยกเป็นส่วนๆ ของร่างกาย เช่นใช้ทารอบตา รอบคอ ลำคอ ต้นขา เท้า และเล็บโดยเฉพาะ ซึ่งไม่จำเป็นและสิ้นเปลือง เท่าที่จำเป็นคือใช้ชนิดที่มี AHA ความเข้มข้นสูงทาตัว และความเข้มข้นต่ำทาหน้า ไม่ใช้เครื่องสำอางกรดผลไม้ทาเปลือกตาหรือทาริมฝีปากโดยเด็ดขาด

            8. เมื่อได้ผลิตภัณฑ์กรดผลไม้ที่ถูกใจแล้ว ให้ทาวันละ 1-2 ครั้ง ต่อเนื่องกันไป 6 เดือนถึง 1 ปี หรือจนกระทั่งไม่สามารถสังเกตเห็นว่า มีการเปลี่ยนแปลงดีขึ้นไปได้อีก ก็อาจลดการทาครีมลงได้ครึ่งหนึ่ง

    การลอกหน้าด้วยกรดผลไม้ หรือ AHA (alpha hydroxy acid) นั้นจะช่วยให้ เซลล์ผิวหนังชั้นนอกสุดคือ ชั้นขี้ไคลซึ่งเป็นผิวหนังชั้นที่ตายแล้ว หลุดลอกออกไป ทำให้ผิวดูสดใสและเรียบเนียนขึ้นได้บ้าง เพื่อความปลอดภัยควรให้แพทย์ผิวหนัง เป็นผู้ลอกหน้าให้ โดยมากนิยมใช้ AHA ความเข้มข้นร้อยละ 20-70 ก่อนลอกหน้าต้องล้าง และเช็ดเครื่องสำอางออกให้หมดก่อน ต้องใช้ผ้ากอซปิดตาหรือหลับตาให้สนิท เพราะถ้าน้ำยาเข้าตา ตาจะอักเสบระคายเคืองอย่างรุนแรง หลังทาน้ำยาจะมีอาการคันเล็กน้อย ทิ้งไว้ 2-3 นาที แล้วล้างหน้าให้สะอาด หลังลอกหน้าด้วยวิธีนี้ ผิวอาจจะบวมแดงเล็กน้อย และลอกเป็นขุยในอีก 2-3 วันต่อมา ทั่วไปนิยมลอกหน้าด้วย AHA ต่อเนื่องกัน 6 ครั้ง โดยเว้นระยะครั้งละ 2-3 สัปดาห์ แต่จะใช้น้ำยาความเข้มข้นสูงหรือต่ำขนาดใด และลอกบ่อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละคนด้วยนะครับ

    เนื่องจากการลอกหน้าด้วย AHA ทำให้ผิวหนังบางลง จึงทำให้ผิวได้รับอันตรายจากรังสียูวี ในแสงแดดได้ง่ายขึ้น ซึ่งผลเสียนี้ทำให้ผิวหนังเหี่ยวแก่เร็วและเกิดมะเร็งผิวหนังได้ง่าย จึงไม่แนะนำให้ผู้ที่มีผิวขาวอยู่แล้วลอกหน้าด้วย AHA และผู้ที่ลอกหน้าด้วย AHA จะต้องหลบเลี่ยงการโดนแดดจัด ต้องทายากันแดดที่มีค่า SPF อย่างต่ำ 15 ร่วมด้วยเสมอนะครับ      
   
    ที่มา..หนังสือ นิตยสารใกล้หมอ ปีที่ 25 ฉบับที่ 7 กรกฎาคม 2544   
        
   

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น