วันเสาร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2554

วิตามินชนิดที่ละลายในไขมัน(Fat-Soluble Vitamins)







วิตามินชนิดที่ละลายในไขมัน

วิตามินเอ เป็นวิตามินที่ทำหน้าที่ปกป้องเยื่อบุต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น เยื่อบุลำไส้ เยื่อบุทางเดินหายใจ เป็นต้น เมื่อขาดวิตามินเอ เยื่อบุต่างๆ จะเหี่ยวฝ่อ ทำให้เชื้อโรคเข้าสู่อวัยวะต่าง ๆ ได้ง่าย ซึ่งวิตามินเอจะช่วยให้ระบบภูมิต้านทานแข็งแรง และยังช่วยให้สามารถมองเห็นในที่มืดได้ดี ถ้าขาดวิตามินเอจะทำให้การปรับตัวของตาในที่มืดไม่ดี คนสมัยก่อนเรียกอาการดังกล่าวว่า “ตามัวตาฟาง” และวิตามินเอยังมีบทบาทช่วยในการเจริญเติบโตของอวัยวะต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นกล้ามเนื้อ กระดูก สมอง และอื่นๆ นอกจากนี้ยังพบว่าวิตามินเอเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย ซึ่งการขาดวิตามินเอทำให้ภูมิต้านทานอ่อนแอ มองเห็นไม่ดีในเวลากลางคืน ติดเชื้อง่าย และในเด็กเล็กหากขาดวิตามินเออย่างรุนแรงจะทำให้เสียชีวิตได้ ในทางตรงกันข้าม หากได้รับในปริมาณมากเกินไปจะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ เวียนศีรษะ ผิวแห้ง ผมร่วง ถ้าเป็นในเด็กจะทำให้ปวดกระดูก สำหรับหญิงมีครรภ์ถ้าได้รับวิตามินเอมากเกินไปจะทำให้แท้งได้
    เมื่อรู้จักวิตามินเอก็ต้องรู้จักเบตา-แคโรทีนควบ คู่ไปด้วย เพราะเบตา-แคโรทีนคือสารตั้งต้นของวิตามินเอ เมื่อกินอาหารที่มีเบตา-แคโรทีน ร่างกายของเราจะเปลี่ยนเบตา-แคโรทีนให้เป็นวิตามินเอได้ ในแต่ละวันร่างกายต้องการวิตามินเอ 800 ไมโครกรัม อาร์อี หรือ 2,664 หน่วยสากล หากเป็นเบตา-แคโรทีนจะเท่ากับ 4,800 ไมโครกรัม (จากเอกสาร “สารอาหารที่แนะนำให้บริโภคประจำวันสำหรับคนไทยอายุ 6 ปีขึ้นไป” จัดทำโดยคณะอนุกรรมการพิจารณาการแสดงคุณค่าทางโภชนาการบนฉลากของอาหาร สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข)
    อาหารที่ให้วิตามินเอสูง ได้แก่ ตับสัตว์ทุกชนิด เครื่องในสัตว์ ไข่ นม เป็นต้น ส่วนเบตา-แคโรทีนพบมากในพืชผักผลไม้สีเหลืองและสีส้มแดง เช่น มะละกอ แครอต ผักหวาน ผักชีฝรั่ง ตำลึง ฟักทอง ผักกระเฉด ใบชะพลู มะเขือเทศ ผักบุ้ง คะน้า เป็นต้น
    การกินอาหารที่กล่าวมาข้างต้นจะช่วยให้ได้รับ วิตามินเอหรือเบตา-แคโรทีน โดยควรกินควบคู่กับอาหารที่มีไขมันด้วย จะช่วยให้ร่างกายสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ดี ซึ่งการกินอาหารธรรมชาติดังกล่าวนี้จะไม่ทำให้ได้รับวิตามินเอมากเกินความ ต้องการของร่างกาย แต่หากกินในรูปของเม็ดยาหรือในรูปของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอาจทำให้ได้รับใน ปริมาณมากเกินไป และวิตามินชนิดนี้ถ้าร่างกายใช้ไม่หมดก็จะสะสมไว้ในร่างกาย ไม่สามารถขับทิ้งได้ง่ายเหมือนวิตามินที่ละลายในน้ำ นอกจากนี้ในต่างประเทศมีรายงานว่าพบผู้ที่กินเบตา-แคโรทีนในรูปของผลิตภัณฑ์ เสริมอาหารเป็นมะเร็งที่ปอดด้วย

    วิตามินดี เป็นวิตามินที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการสร้างกระดูก การดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัสไปใช้ในร่างกาย จึงช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง ในแต่ละวันร่างกายต้องการวิตามินดีเพียง 5 ไมโครกรัม หรือ 200 หน่วยสากล ซึ่งนับว่าต้องการในปริมาณที่น้อยมาก และร่างกายของคนเรายังสามารถสังเคราะห์วิตามินดีได้เองจากแสงแดดอ่อน ๆ คนไทยเราโชคดีที่บ้านเรามีแสงแดดมาก จึงไม่ต้องกังวลว่าจะขาดวิตามินดี ยกเว้นในคนที่ไม่ได้รับหรือไม่ถูกแสงแดดเลย ซึ่งก็เป็นไปได้ยาก เพราะนอกจากร่างกายจะสังเคราะห์วิตามินดีได้จากแสงแดดแล้ว ในอาหารที่เรากินกัน เช่น ไข่แดง นม ปลาที่มีไขมัน ตลอดจนธัญพืช ก็มีวิตามินดีอยู่มาก คนไทยจึงไม่ควรกังวลว่าจะขาดวิตามินดีเหมือนชาติตะวันตกที่ประเทศเขาไม่ค่อย มีแสงแดด นอกจากนี้การได้รับวิตามินดีสูงเกินไปอาจทำให้มีแคลเซียมตกตะกอนเป็นหินปูน เกาะอยู่ที่ไต (นิ่วในไต) ได้

    วิตามินอี เป็นวิตามินอีกชนิดหนึ่งที่มีคนให้ความสนใจค่อนข้างมาก มีหน้าที่สำคัญคือช่วยให้เยื่อบุและเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกายทำงานได้ดีขึ้น เพราะวิตามินอีจะทำให้ผนังเซลล์ทนต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมได้ดี ในแต่ละวันร่างกายต้องการวิตามินอีเพียง 10 มิลลิกรัม อัลฟา ที อี หรือ 15 หน่วยสากล ซึ่งเป็นปริมาณที่น้อยมาก แต่ก็ขาดไม่ได้ เพราะถ้าขาดจะทำให้เกิดอาการผิดปกติของอวัยวะสืบพันธุ์ ระบบประสาท และการทำงานของระบบหัวใจและหลอดเลือด ในทางกลับกัน หากได้รับมากเกินไป 30- 200 เท่าของปริมาณที่แนะนำ และกินติดต่อกันเป็นเวลานานๆ จะทำให้มีอาการเริ่มตั้งแต่ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ ซึม จนกระทั่งริมฝีปากอักเสบ และกล้ามเนื้อไม่มีแรง นอกจากนี้ยังมีรายงานการวิจัยพบว่าการกินวิตามินอีในปริมาณสูงกว่าที่แนะนำ ทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นอัมพาตได้ ซึ่งการได้รับวิตามินอีในปริมาณสูงๆ นั้นจะเกิดขึ้นได้จากการกินในรูปของเม็ดยา เพราะหากได้รับจากอาหารจะไม่ทำให้ร่างกายได้รับวิตามินอีมากเกินไปจนเกิด ความเสี่ยงต่อสุขภาพ
    อาหารที่มีวิตามินอีสูงคือน้ำมันพืชต่าง ๆ เช่น น้ำมันจากจมูกข้าวสาลี น้ำมันเมล็ดดอกทานตะวัน น้ำมันจากเมล็ดฝ้าย น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันรำข้าว น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด เป็นต้น ดังนั้นหากใช้น้ำมันพืชดังกล่าวปรุงอาหารเป็นประจำก็ไม่ต้องกังวลว่าจะขาด วิตามินอี นอกจากนี้ในท้องตลาดปัจจุบันยังพบว่ามีการเสริมวิตามินอีในน้ำมันปาล์มด้วย
    วิตามินอีได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ในปัจจุบันนอกจากจะพบว่ามีการเสริมวิตามินอีในอาหารหรือผลิตออกจำหน่ายในรูป เม็ดยาแล้ว ยังมีการเสริมวิตามินอีลงในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวต่าง ๆ อีกด้วย ซึ่งจริง ๆ แล้วแทบไม่พบปัญหาการขาดวิตามินอีในคนไทย ยกเว้นในคนที่มีลำไส้ผิดปกติในการดูดซึมซึ่งไม่สามารถดูดซึมไขมันได้ จะทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมวิตามินอีไปใช้ได้ เพราะวิตามินอีเป็นวิตามินชนิดละลายในไขมัน นอกจากนี้อาจพบได้ในทารกที่คลอดก่อนกำหนด เนื่องจากร่างกายทารกยังมีการสะสมวิตามินอีได้น้อย ดังนั้นคนปกติทั่วไปจึงไม่ควรกังวลว่าจะขาดวิตามินอี และถ้าคิดจะซื้อวิตามินอีในรูปของเม็ดยามากินควรปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง

    วิตามินเค เป็นวิตามินที่มีคนรู้จักและกล่าวถึงน้อยกว่าวิตามินชนิดอื่นที่กล่าวมา มีหน้าที่สำคัญคือช่วยทำให้เลือดแข็งตัว และช่วยสร้างโปรตีนชนิดที่มีหน้าที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก ในแต่ละวันร่างกายต้องการวิตามินเคเพียง 80 ไมโครกรัม ซึ่งนอกจากอาหารประเภทใบเขียวเข้ม เช่น คะน้า ผักโขม ที่มีวิตามินเคแล้ว ยังพบได้ในตับสัตว์และเนย รวมทั้งแบคทีเรียที่อยู่ในลำไส้ของคนเรายังสามารถสังเคราะห์วิตามินเคได้อีก ด้วย ดังนั้นจึงไม่ควรกังวลว่าจะขาดวิตามินเค ยกเว้นในกลุ่มคนบางกลุ่ม เช่น ทารกที่คลอดก่อนกำหนด ร่างกายยังสะสมวิตามินเคได้น้อย เมื่อคลอดออกมาแพทย์ก็จะฉีดวิตามินเคให้ คุณพ่อคุณแม่ที่มีทารกคลอดก่อนกำหนดจึงไม่ต้องวิตกว่าลูกของตนจะขาดวิตามิ นเค และผู้ที่จะมีปัญหาอีกกลุ่มคือผู้ป่วยที่มีความผิดปกติในการดูดซึมไขมัน จึงทำให้ไม่สามารถดูดซึมวิตามินเคได้ เนื่องจากวิตามินเคเป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน จึงต้องมีไขมันเป็นตัวนำเพื่อให้ร่างกายสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ เมื่อร่างกายมีปัญหาการดูดซึมไขมันจึงดูดซึมวิตามินเคไม่ได้ ส่งผลให้ขาดวิตามินเค นอกจากนี้ยังมีกลุ่มคน ที่ควรจะได้รับวิตามินเคมากกว่าคนปกติทั่วไป เพราะเสี่ยงต่อการขาดวิตามินเค คือผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ผู้ที่เป็นโรคตับ ได้แก่ ดีซ่าน ตับแข็ง ซึ่งควรได้รับวิตามินเคมากกว่าคนทั่วไป
    

References

   วิตามิน...กินให้เป็น (ตอนที่ 2) http://www.tistr-foodprocess.net/food_health/food_health19.htm

     http://www.ext.colostate.edu/pubs/foodnut/09315.html

วิตามินที่ละลายในน้ำ(Water-Soluble Vitamins)






วิตามินที่ละลายในน้ำ
 

วิตามินเป็นสารอาหารที่จำ เป็นต่อร่างกายของคนเรา เพราะ แม้ว่า ร่างกายต้องการวิตามินไม่มากนัก แต่ก็ขาดไม่ได้ เนื่องจาก จะทำให้มีปัญหาสุขภาพตามมา เช่น ถ้าขาดวิตามินซี จะทำให้เป็นโรคเลือดออกตามไรฟัน  ถ้าขาดวิตามินบี 1 จะทำให้เป็นโรคเหน็บชา ถ้าขาดวิตามินเอ จะทำให้ไม่สามารถมองเห็นในที่มืด เป็นต้น
นักวิชาการแบ่งวิตามินออกเป็น 2 ชนิดตามคุณสมบัติของวิตามิน ชนิดแรกคือวิตามินที่ละลายในน้ำ ร่างกายจะนำวิตามินไปใช้ประโยชน์ได้ต้องมีน้ำเป็นตัวพาไป ได้แก่ วิตามินบีรวม และวิตามินซี
วิตามินอีกชนิดหนึ่งคือ วิตามินที่ละลายในน้ำมัน   วิตามินชนิดนี้ ร่างกายจะนำไปใช้ประโยชน์ได้ต้องมีน้ำมันเป็นตัวนำ วิตามินในกลุ่มนี้ ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี และวิตามินเค (อ้างอิงที่ 1)
วิตามินบีรวมประกอบด้วยวิตามินบีหลายตัว ที่รู้จักแพร่หลายคือ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 6 วิตามินบี 12 โฟเลต และไนอะซิน วิตามินกลุ่มนี้ แม้ว่าจะบริโภคเกินความต้องการในแต่ละวัน ก็จะไม่มีอันตราย เนื่องจาก ร่างกายจะไม่สะสมให้เกิดผล เสียต่อสุขภาพ เนื่องจากวิตามินกลุ่มนี้มีคุณสมบัติละลายในน้ำ เมื่อได้รับมากเกินไปร่างกายก็จะขับออกเองได้ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข ได้จัดทำบัญชี แสดงปริมาณของวิตามินที่ละลายในน้ำที่แนะนำให้ควรบริโภคประจำวันสำหรับคนไทย อายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป (Thai Recommended Daily Intakes หรือThai RDI) รวมถึงข้อความกล่าวอ้างเกี่ยวกับหน้าที่ของของวิตามินที่ละลายในน้ำแต่ละตัว ตามรายละเอียดในตารางที่ 1
ตารางที่ 1: แสดงปริมาณของวิตามินที่ละลายในน้ำที่แนะนำให้บริโภคต่อ 1 วันสำหรับคนไทย อายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป และข้อความกล่าวอ้างเกี่ยวกับหน้าที่ของสารอาหาร ของวิตามินที่ละลายในน้ำ
วิตามิน
ที่ละลายในน้ำ
ปริมาณที่แนะนำ
ให้บริโภคต่อ 1 วัน
ข้อความกล่าวอ้างเกี่ยวกับ
หน้าที่ของสารอาหาร
วิตามินบี 1
(Thiamin)
1.5 มิลลิกรัม (mg)
- ช่วยให้ร่างกายได้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรต
-
มีส่วนช่วยในการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ
วิตามินบี 2
(Riboflavin)
1.7 มิลลิกรัม (mg)
- ช่วยให้ร่างกายได้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน
ไนอะซิน (Niacin)
หรือวิตามินบี 3
20 มิลลิกรัม เอ็น อี
(mg NE)
- ช่วยให้เยื่อบุทางเดินอาหารและผิวหนังอยู่ในสภาพปกติ
-
ช่วยให้ร่างกายได้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน
กรดแพนโทธินิค (Pantothenic Acid)
หรือวิตามินบี 5
6 มิลลิกรัม (mg)
- ช่วยในการใช้ประโยชน์ (เมตาบอลิซึม) ของไขมัน และคาร์โบไฮเดรต
-
ช่วยในการใช้ประโยชน์ของไขมันและคาร์โบไฮเดรต
-
ช่วยในการเมตาบอลิซึมของไขมันและคาร์โบไฮเดรต
วิตามินบี 6
(Vitamin B6)
2 มิลลิกรัม (mg)
- มีส่วนช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดงให้สมบูรณ์
-
มีส่วนช่วยสร้างสารที่จำเป็นในการทำงานของระบบประสาท
โฟเลต (Folate)
หรือวิตามินบี 9
200 ไมโครกรัม (μg)
- มีส่วนสำคัญในการสร้างเม็ดเลือดแดง
วิตามินบี 12
(Vitamin B12)
2 ไมโครกรัม (μg)
- มีส่วนช่วยสร้างสารที่จำเป็นในการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง
-
มีส่วนช่วยในการทำงานของระบบประสาทและสมอง
วิตามินซี
(Vitamin C)
60 มิลลิกรัม (mg)
- ช่วยให้หลอดเลือดแข็งแรง
-
มีส่วนช่วยในกระบวนการต่อต้านอนุมูลอิสระ
-
มีส่วนช่วยในการสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจน และเนื้อเยื่อของเอ็นกระดูกอ่อน
(อ้างอิงที่ 2-3)
นอกจากนี้โคลีน (Choline) ซึ่งเป็นสารอาหารอีกตัวที่ละลายในน้ำ และมักจะถูกจัดเข้าไปอยู่ในกลุ่มเดียวกับวิตามินบีรวม โคลีนเป็นสารตั้งต้นหลักในการสังเคราะห์สารสื่อประสาทที่มีชื่อว่า อะเซททิลโคลีน (Acetylcholine) ทำหน้าที่เป็นสารสื่อประสาทสำคัญที่เกี่ยวข้องกับความจำ การควบคุมกล้ามเนื้อ และหน้าที่อื่นๆอีกหลายอย่าง ปริมาณที่เพียงพอต่อร่างกายใน 1 วัน (Adequate Intake) สำหรับผู้ใหญ่ เพศชาย และ หญิง คือ 550 mg และ 425 mg ตามลำดับ (อ้างอิงที่ 4)
วิตามินเหล่านี้ มีอยู่ในอาหารต่างๆอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม เนื่องจากภาวะรีบเร่งในชีวิตประจำวันส่งผลทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยน ไป ดังนั้นโอกาสที่จะได้รับประทานอาหารที่หลากหลายครบ 5 หมู่จึงเป็นไปได้ยาก เช่น ผู้ที่ทำงานในสำนักงาน ช่วงเช้ารีบเร่งจนไม่ได้รับประทานอาหารเช้า กลางวันก็มักจะรับประทานอาหารจานเดียว เป็นต้น ดังนั้น ทางเลือกหนึ่งที่ช่วยป้องกันให้ไม่ขาดสารอาหารเหล่านี้คือ รับประทานเครื่องดื่มที่มีการเติมสารอาหารเหล่านี้ลงไป หรืออาจรับประทานในรูปของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร อย่างไรก็ตาม ไม่แนะนำให้รับประทานผลิตภัณฑ์ที่เป็นยา เนื่องจากจะมีปริมาณของวิตามินสูงมาก ซึ่งทั่วๆไปนั้น มักจะใช้รักษาผู้ป่วยที่แสดงอาการ ของการขาดวิตามิน แล้วเท่านั้น
เอกสารอ้างอิง :
    • วิตามิน...กินให้เป็น (ตอนที่ 1). ฝ่ายเทคโนโลยีอาหาร สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.). http://www.tistr-foodprocess.net/food_health/food_health18.htm
    • ประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 182 ) พ.ศ.2541 เรื่อง ฉลากโภชนาการ. สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข
    • ประกาศสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เรื่อง การแสดงข้อความกล่าวอ้างเกี่ยวกับหน้าที่ของสารอาหาร. สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข
    • Dietary Reference Intakes for Thiamin, Riboflavin, Niacin, Vitamin B6, Folate, Vitamin B 12, Pantothenic acid, Biotin and Choline. 12 Choline. The National Academies Press. pages 390-422.  http://www.nal.usda.gov/fnic/DRI//DRI_Thiamin/390-422_150.pdf

วันจันทร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

อาหารเสริมกับข้อห้ามและข้อดวรระวังสำหรับโรคบางโรค


การรับประทานอาหารเสริม อาหารเพื่อสุขภาพ หรือ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เพื่อส่งเสริมสุขภาพมีประโยชน์สำหรับคนปกติ และมีประโยชน์สำหรับผู้ป่วยบางโรค และไม่ควรนำผลิตภัณฑ์เสริมอาหารไปอวดอ้างว่ารักษาโรคได้ เพราะอาหารเสริมไม่ใช่ยาที่จะนำไปรักษาโรคให้หายขาด หากมีอาการป่วยที่ไม่ทราบว่าเป็นโรคอะไรแน่ควรพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยหาโรคก่อนเสมอ ไม่ควรรับประทานอาหารเสริมและมัวแต่รอผลของอาหารเสริมอาจเสียเวลาในการรักษาโรคที่แน่นอน ผู้ที่จะรับประทานอาหารเสริมควรศึกษาข้อดี ข้อเสีย ข้อควรระวัง ข้อห้ามก่อนรับประทาน สำหรับคนที่มีโรคประจำตัวควรปรึกษาแพทย์ก่อน

อาหารเสริม กับข้อห้ามสำหรับบางโรค

นิ่วในไต

ระวังในการรับประทานแคลเซียม เพราะในบางรายอาจเพิ่มการขับแคลเซียมในปัสสาวะ เกิดการตกตะกอน ทำให้นิ่วโตเร็วขึ้นในผู้ที่ป่วยเป็นนิ่วแลัว ควรได้รับการตรวจแคลเซียมในปัสสาวะและพิจารณาโดยแพทย์ก่อน

นิ่วในถุงน้ำดี

ห้ามขมิ้นชัน และว่านชักมดลูก เพราะทั้งสองตัวเพิ่มการหลั่งน้ำดีอาจทำให้นิ่วโตเร็ว แต่เมื่อได้รับการผ่าตัดถุงน้ำดีไปแล้วสามารถรับประทานได้

โรคลมชัก โรคจิต

ห้ามน้ำมันพริมโรส และ แอล-ธีอะนีน เพราะอาจทำให้อาการแย่ลงแม้จะเริ่มมีงานวิจัยคัดค้านว่าไม่เป็นอันตราย แต่ให้ถือว่าห้ามรับประทานไว้ก่อน

เบาหวาน

ห้ามลดน้ำหนักด้วยสูตรอาหารเพื่อสุขภาพทั้งหมดเพราะจะทำให้น้ำตาลในเส้นเลือดต่ำเกินไปเสมอจนเป็นอันตราย ทั้งนี้ รวมจากผลของยาเบาหวานด้วย ผู้ป่วยเบาหวานถ้าต้องการจะลดน้ำหนักต้องปรึกษาแพทย์ที่รักษาในการปรับยาเบหวานและอยู่ในความดูแลของแพทย์เสมอ

โรคหัวใจ อัมพาต เส้นเลือดอุดตัน(อาจจะทานยาแอสไพรินหรือยาต้านเกล็ดเม็ดเลือดยาละลายลิ่มเลือด เป็นต้น)
ห้าม แป๊ะก๊วย น้ำมันพริมโรส โสม กระเทียม น้ำมันปลา เห็ดหลินจือ สารสกัดจากเมล็ดองุ่น หว่านชักมดลูก ในกรณีที่ทานยาต้านการแข็งตัวของเลือดปริมาณสูงห้ามรับประทาน โคเอ็นไซน์ คิาเท็น

โรคตับทุกชนิด(ทีมีเอนไซน์ของการทำงานของตับสูง คือค่า SGOT SGPT มากกว่า 40 IU)

ห้า เมสมุนไพร เช่น โสม เห็ดหลินจือ ใบบัวบก แปะก๊วย ฟ้าทะลายโจร กราวเครือ ว่านชักมดลูก เพราะเป็นสมุนไพรที่มีความเป็นยาสูง อาจทำให้ตับทำงานหนัก(แต่สำหรับพาหะไวรัสตับอักเสบบี ที่มีเอนไซน์ของการทำงานของตับปกติ คือ ค่า SGOT SGPT น้อยกว่า 40 IU จะรับประทานอาหารเสริมที่มีความเป็นสมุนไพรบางชนิดที่สามารถแนะนำได้คือ ขมิ้นชัน และสารสกัดจากชาเขียวแต่ควรเช็คการทำงานของตับเป็นระยะ)

ข้อห้ามอย่างเด็ดขาด สำหรับอาหารเสริม

สตรีตั้งครรภ์ต่ำกว่า4 เดือน ไม่ให้รับประทานอาหารเสริมทุกชนิด เพื่อความปลอดภัยสูงสุด(สตรีตั้งครรภ์ทุกระยะไม่ควารรับประทานสมุนไพร สำหรับสตรีที่อายุครรภ์เกินสี่เดือน อาหารเพื่อสุขภาพที่สามารถแนะนำได้ควรเป็นพวก วิตามิน โปรตีน แคลเซียม น้ำผลไม้ และน้ำมันปลาเท่านั้น)

เด็กอายุต่ำกว่า1ปี ไมให้ทานอาหารเพื่อสุขภาพทุกชนิด เพราะเมื่อไม่สบายจะมีอันตรายสูงต้องตรวจรักษาโดยแพทย์เท่านั้น และไม่ตั้องการอาหารสุขภาพเพิ่มเติมอะไรอีกเลย นอกจากนี้เด็กที่ยังเคี้ยวหรือกลืนยาไม่ได้ ก็อาจจะติดคอเป็นอันตราย

คนไข้ในโรงพยาบาล ไม่ให้ทานอาหารเสริมเพื่อสุขภาพทุกชนิด เพราะอาจจะรบกวนการทำงานของแพทย์รบกวนยา หรือคนไข้อาจมีภาวะที่ตับ ไต ไม่แข็งแรง เป็นต้น



ที่มาจากนังสือ The Dietary Supplement Pyramid รายละเอียดที่เป็นประโยชน์อีกมากมายเพิ่มเติมในหนังสือ ขอได้ฟรีทีศูนย์กิฟฟารีน

วันศุกร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เจียวกู้หลาน หรือ เจียวกู่หลาน ( JIAOGULAN )




เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ เจียวกู่หลาน

เจียวกู่หลาน มีอีกชื่อว่า “ปัญจขันธ์” ได้รับคัดเลือกเป็นสมุนไพรแห่งปี 2548 ร่วมกับฟ้าทะลายโจร จากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
เจียวกู่หลาน มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Gynostemma pentaphyllum จัดเป็นพืชสมุนไพรชนิดเถา มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเอเชียตะวันออก และเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ พบตั้งแต่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี อินเดีย เนปาล ศรีลังกา พม่า ไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ฯลฯ ในประเทศจีนใช้แก้ไอ รักษาอาการอักเสบ ขับเสมหะ รักษาอาการหลอดลมเรื้อรัง และตับอักเสบจากการติดเชื้อ ในการแพทย์พื้นบ้านของญี่ปุ่น ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ ลดไข้ แก้อักเสบ และบำรุงกำลัง สมุนไพรชนิดนี้มีประวัติการใช้มายาวนานในประเทศจีน และญี่ปุ่น ทั้งเป็นยาและเป็นอาหารเสริมสุขภาพ (อ้างอิงที่ 1)

มะรุม


เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ มะรุม

มะรุมเป็นพืชสมุนไพรที่ใช้ เป็นอาหารอยู่ในหลายประเทศ มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Moringa oleifera Lamk มะรุมมีชื่อเรียกต่าง ๆ คือ “drum stick tree” “horse radish tree” “kelor tree” ส่วนต่าง ๆ ที่ใช้รับประทานคือ ใบ ผล ดอก และฝักอ่อน สำหรับในประเทศไทย นิยมใช้ฝักมะรุมปรุงอาหารในรูปของแกงส้ม แกงอ่อม
การใช้ประโยชน์ทางยา พบว่า เกือบจะทุก ๆ ส่วนของต้นมะรุม มีการนำไปใช้ทางยาในแถบเอเชียใต้ ส่วนที่ใช้คือ ราก เปลือกต้น กัม (gum) ใบ ผล (ฝัก) ดอก เมล็ด และน้ำมันจากเมล็ด (อ้างอิงที่ 1) ในตำรายาพื้นบ้าน ใช้ใบมะรุมพอกแผลช่วยห้ามเลือด ทำให้นอนหลับ เป็นยาระบาย ขับปัสสาวะ และช่วยแก้ไข้ ใช้ส่วนดอกและผลเป็นยาบำรุง ขับปัสสาวะ และแก้ไข้ ใช้ส่วนเมล็ดบดพอกแก้ปวดข้อตามข้อ และแก้ไข้ (อ้างอิงที่ 2) มีรายงานกล่าวถึงการนำพืชนี้มาใช้เป็นยาครอบจักรวาล (panacea) (อ้างอิงที่ 3)
ในภาพรวมของข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการวิจัยในระดับเซลล์และสัตว์ทดลองพบว่า มะรุมมีฤทธิ์ที่น่าสนใจมากมาย เช่น ฤทธิ์ลดความดันโลหิต ต้านการเกิดเนื้องอก ต้านมะเร็ง ลดระดับโคเลสเตอรอล ต้านการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ป้องกันตับอักเสบ ต้านออกซิเดชัน ต้านเชื้อแบคทีเรีย ลดระดับน้ำตาล และฤทธิ์ต้านการอักเสบ

สำหรับงานวิจัยที่น่าสนใจในสัตว์ทดลองมีโดยย่อดังนี้
ฤทธิ์ลดความดันโลหิต
สารสกัดน้ำและเอทานอลของใบมะรุม สารสกัดเอทานอลของผลและฝัก สารในกลุ่ม glycosides ในสารสกัดเมทานอลของฝักแห้งและเมล็ด แสดงฤทธิ์ลดความดันโลหิตในสุนัขและหนูแรท

วันเสาร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เรื่องของขมิ้นชัน


ขมิ้นชัน เป็นพืชสมุนไพรชนิดหนึ่ง ซึ่งสามารถนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพ เนื่องจากมีคุณประโยชน์และงานวิจัยทางด้านการแพทย์กล่าวโดยสรุปได้ดังนี้
1. มีประโยชน์ต่อระบบทางเดินอาหาร โดยช่วยลดท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยย่อยอาหาร บำรุงตับ ลดการเจ็บป่วยจากโรคลำไส้เรื้อรัง
2. มีประโยชน์ต่อระบบหัวใจ หลอดเลือดหัวใจ และ สมอง โดยช่วยในเรื่องโรคหัวใจและหลอดเลือด ลดการตายของกล้ามเนื้อหัวใจและป้องกันเซลล์สมองตายจากการขาดเลือด
3. มีประโยชน์ในด้านการช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็งหลายชนิด ได้แก่ มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งเม็ดโลหิตขาว มะเร็งปอด มะเร็งตับ มะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ และอาจลดมะเร็งปากมดลูกอีกด้วย
4. มีประโยชน์ในด้านช่วยบำรุงสมอง และอาจช่วยเรื่องอัลไซเมอร์
5. ช่วยฆ่าเชื้อมาเลเรีย

วันอาทิตย์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2553

หอยเป๋าฮื้อ



รื่องน่ารู้เกี่ยวกับ เป๋าฮื้อ
หอยเป๋าฮื้อ หรือหอยโข่งทะเล หรือชื่อภาษาอังกฤษว่า อะบาโลน (abalone) เป็นหอยโข่งทะเลฝาเดียวอาศัยตามก้อนหินแถบชายฝั่งทะเล จัดเป็นอาหารที่อุดมคุณค่าโปรตีน และตามความเชื่อตามประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นได้ใช้หอยชนิดนี้เขียนตัวอักษร ถึงพระเจ้า นอกจากนี้หอยเป๋าฮื้อยังเป็นสัตว์กินพืช มีอายุยืน ทำให้มีราคาแพงมาก       ในอดีตผู้ที่จะได้กินจึงจะมีแต่พวกจักรพรรดิ์และขุนนางผู้ใหญ่ แต่ในปัจจุบันหอยเป๋าฮื้อเป็นอาหารทั่วไปที่นิยมกินกันในโอกาสสำคัญเนื่อง บางคนยังมีความเชื่อว่าเป็นอาหารสิริมงคล จึงทำให้มีการบริโภคอย่างแพร่หลายมากขึ้นซึ่งเป็นที่นิยมกันมากในประเทศ แถบเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี จีน ไต้หวัน กับหลายประเทศในแถบยุโรปและอเมริกา (อ้างอิงที่ 1, 2) ในประเทศไทยเองก็ได้มีฟาร์ม ทำการเพาะเลี้ยงหอยเป๋าฮื้อสายพันธุ์น้ำอุ่น ที่กำลังเป็นที่นิยมของตลาดในปัจจุบัน คือ ฮาลิโอติส ไดเวอร์สิคัลเลอร์ (Haliotis diversicolor) เป็นหอยเป๋าฮื้อพันธุ์ไต้หวันที่เลี้ยงง่าย    โตเร็ว ทนต่อโรค และเป็นความต้องการของตลาด โดยมีตลาดหลักคือ ญี่ปุ่น จีน ฮ่องกง ไต้หวัน (อ้างอิงที่ 3)
 
The National Registration Authority for Agricultural and Veterinary Chemicals (NRA)  ของรัฐบาลประเทศออสเตรเลีย  ได้ประเมินว่าเนื้อหอยเป๋าฮื้อชนิดผง มีสารสำคัญที่ชื่อว่า Glycosaminoglycans (อ้างอิงที่ 4) หรือที่เรียกกันว่า GAGs ทำหน้าที่เป็นตัวหล่อลื่นให้แก่ข้อ
มีสารสำคัญที่ชื่อว่า Glycosaminoglycans (อ้างอิงที่  4) หรือที่เรียกกันว่า GAGs ทำหน้าที่เป็นตัวหล่อลื่นให้แก่ข้อ มีงานวิจัยจากประเทสฝรั่งเศสพบว่าหอยเป๋าฮื้อ พบว่ามีปริมาณ GAGs อยู่ประมาณ 43 % ซึ่งอยู่ในรูปแบบของ Heparan sulfate, Chondroitin/dermatan sulfate and Hyaluronic acid (อ้างอิงที่ 5)
มีรายงานวิจัยถึง GAGs ในรูปแบบของ Chondroitin Sulfate กับกลุ่มคนไข้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับกระดูกข้อเข่าจำนวน 622 คน พบว่ากลุ่มที่ได้รับ Chondroitin Sulfate สามารถลดการสึกหรอของกระดูกอ่อนของข้อได้ดีกว่าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (อ้าง อิงที่ 6)

เอกสารอ้างอิง



  • Alabone. http://en.wikipedia.org/wiki/Abalone
  • คัมภีร์การเพาะเลี้ยงหอย เป๋าฮื้อ. ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย. http://mdit.pbru.ac.th/sme/Details/InvestmentExamples/I006.doc
  • หอยเป๋าฮื้อ พันธุ์น้ำอุ่น. Phuket Abalone Farm. http://www.phuketabalone.com/Abalone-Thai/farm-tropical.html
  • Notice Alabone Powder. The National Registration Authority for Agricultural and Veterinary Chemicals (NRA). NRA Gazette 9 3 September 2002 page 24.
  • In Vitro Synthesis of Proteoglycans and Collagen in Primary Cultures of Mantle Cells from the Nacreous Mollusk, Haliotis tuberculata: A New Model for Study of Molluscan Extracellular Matrix. Mar Biotechnol (NY). 2000 Jul;2(4):387-398
  • Long-term effects of chondroitins 4 and 6 sulfate on knee osteoarthritis: the study on osteoarthritis progression prevention, a two-year, randomized, double-blind, placebo-controlled trial. Arthritis Rheum. 2009 Feb;60(2):524-33