วิตามินที่ละลายในน้ำ
วิตามินเป็นสารอาหารที่จำ เป็นต่อร่างกายของคนเรา เพราะ แม้ว่า ร่างกายต้องการวิตามินไม่มากนัก แต่ก็ขาดไม่ได้ เนื่องจาก จะทำให้มีปัญหาสุขภาพตามมา เช่น ถ้าขาดวิตามินซี จะทำให้เป็นโรคเลือดออกตามไรฟัน ถ้าขาดวิตามินบี 1 จะทำให้เป็นโรคเหน็บชา ถ้าขาดวิตามินเอ จะทำให้ไม่สามารถมองเห็นในที่มืด เป็นต้น
นักวิชาการแบ่งวิตามินออกเป็น 2 ชนิดตามคุณสมบัติของวิตามิน ชนิดแรกคือวิตามินที่ละลายในน้ำ ร่างกายจะนำวิตามินไปใช้ประโยชน์ได้ต้องมีน้ำเป็นตัวพาไป ได้แก่ วิตามินบีรวม และวิตามินซี
วิตามินอีกชนิดหนึ่งคือ วิตามินที่ละลายในน้ำมัน วิตามินชนิดนี้ ร่างกายจะนำไปใช้ประโยชน์ได้ต้องมีน้ำมันเป็นตัวนำ วิตามินในกลุ่มนี้ ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี และวิตามินเค (อ้างอิงที่ 1)
วิตามินบีรวมประกอบด้วยวิตามินบีหลายตัว ที่รู้จักแพร่หลายคือ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 6 วิตามินบี 12 โฟเลต และไนอะซิน วิตามินกลุ่มนี้ แม้ว่าจะบริโภคเกินความต้องการในแต่ละวัน ก็จะไม่มีอันตราย เนื่องจาก ร่างกายจะไม่สะสมให้เกิดผล เสียต่อสุขภาพ เนื่องจากวิตามินกลุ่มนี้มีคุณสมบัติละลายในน้ำ เมื่อได้รับมากเกินไปร่างกายก็จะขับออกเองได้ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข ได้จัดทำบัญชี แสดงปริมาณของวิตามินที่ละลายในน้ำที่แนะนำให้ควรบริโภคประจำวันสำหรับคนไทย อายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป (Thai Recommended Daily Intakes หรือThai RDI) รวมถึงข้อความกล่าวอ้างเกี่ยวกับหน้าที่ของของวิตามินที่ละลายในน้ำแต่ละตัว ตามรายละเอียดในตารางที่ 1
ตารางที่ 1: แสดงปริมาณของวิตามินที่ละลายในน้ำที่แนะนำให้บริโภคต่อ 1 วันสำหรับคนไทย อายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป และข้อความกล่าวอ้างเกี่ยวกับหน้าที่ของสารอาหาร ของวิตามินที่ละลายในน้ำ
วิตามิน ที่ละลายในน้ำ | ปริมาณที่แนะนำ ให้บริโภคต่อ 1 วัน | ข้อความกล่าวอ้างเกี่ยวกับ หน้าที่ของสารอาหาร |
วิตามินบี 1 (Thiamin) | 1.5 มิลลิกรัม (mg) | - ช่วยให้ร่างกายได้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรต - มีส่วนช่วยในการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ |
วิตามินบี 2 (Riboflavin) | 1.7 มิลลิกรัม (mg) | - ช่วยให้ร่างกายได้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน |
ไนอะซิน (Niacin) หรือวิตามินบี 3 | 20 มิลลิกรัม เอ็น อี (mg NE) | - ช่วยให้เยื่อบุทางเดินอาหารและผิวหนังอยู่ในสภาพปกติ - ช่วยให้ร่างกายได้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน |
กรดแพนโทธินิค (Pantothenic Acid) หรือวิตามินบี 5 | 6 มิลลิกรัม (mg) | - ช่วยในการใช้ประโยชน์ (เมตาบอลิซึม) ของไขมัน และคาร์โบไฮเดรต - ช่วยในการใช้ประโยชน์ของไขมันและคาร์โบไฮเดรต - ช่วยในการเมตาบอลิซึมของไขมันและคาร์โบไฮเดรต |
วิตามินบี 6 (Vitamin B6) | 2 มิลลิกรัม (mg) | - มีส่วนช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดงให้สมบูรณ์ - มีส่วนช่วยสร้างสารที่จำเป็นในการทำงานของระบบประสาท |
โฟเลต (Folate) หรือวิตามินบี 9 | 200 ไมโครกรัม (μg) | - มีส่วนสำคัญในการสร้างเม็ดเลือดแดง |
วิตามินบี 12 (Vitamin B12) | 2 ไมโครกรัม (μg) | - มีส่วนช่วยสร้างสารที่จำเป็นในการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง - มีส่วนช่วยในการทำงานของระบบประสาทและสมอง |
วิตามินซี (Vitamin C) | 60 มิลลิกรัม (mg) | - ช่วยให้หลอดเลือดแข็งแรง - มีส่วนช่วยในกระบวนการต่อต้านอนุมูลอิสระ - มีส่วนช่วยในการสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจน และเนื้อเยื่อของเอ็นกระดูกอ่อน |
(อ้างอิงที่ 2-3)
นอกจากนี้โคลีน (Choline) ซึ่งเป็นสารอาหารอีกตัวที่ละลายในน้ำ และมักจะถูกจัดเข้าไปอยู่ในกลุ่มเดียวกับวิตามินบีรวม โคลีนเป็นสารตั้งต้นหลักในการสังเคราะห์สารสื่อประสาทที่มีชื่อว่า อะเซททิลโคลีน (Acetylcholine) ทำหน้าที่เป็นสารสื่อประสาทสำคัญที่เกี่ยวข้องกับความจำ การควบคุมกล้ามเนื้อ และหน้าที่อื่นๆอีกหลายอย่าง ปริมาณที่เพียงพอต่อร่างกายใน 1 วัน (Adequate Intake) สำหรับผู้ใหญ่ เพศชาย และ หญิง คือ 550 mg และ 425 mg ตามลำดับ (อ้างอิงที่ 4)
วิตามินเหล่านี้ มีอยู่ในอาหารต่างๆอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม เนื่องจากภาวะรีบเร่งในชีวิตประจำวันส่งผลทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยน ไป ดังนั้นโอกาสที่จะได้รับประทานอาหารที่หลากหลายครบ 5 หมู่จึงเป็นไปได้ยาก เช่น ผู้ที่ทำงานในสำนักงาน ช่วงเช้ารีบเร่งจนไม่ได้รับประทานอาหารเช้า กลางวันก็มักจะรับประทานอาหารจานเดียว เป็นต้น ดังนั้น ทางเลือกหนึ่งที่ช่วยป้องกันให้ไม่ขาดสารอาหารเหล่านี้คือ รับประทานเครื่องดื่มที่มีการเติมสารอาหารเหล่านี้ลงไป หรืออาจรับประทานในรูปของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร อย่างไรก็ตาม ไม่แนะนำให้รับประทานผลิตภัณฑ์ที่เป็นยา เนื่องจากจะมีปริมาณของวิตามินสูงมาก ซึ่งทั่วๆไปนั้น มักจะใช้รักษาผู้ป่วยที่แสดงอาการ ของการขาดวิตามิน แล้วเท่านั้น
นอกจากนี้โคลีน (Choline) ซึ่งเป็นสารอาหารอีกตัวที่ละลายในน้ำ และมักจะถูกจัดเข้าไปอยู่ในกลุ่มเดียวกับวิตามินบีรวม โคลีนเป็นสารตั้งต้นหลักในการสังเคราะห์สารสื่อประสาทที่มีชื่อว่า อะเซททิลโคลีน (Acetylcholine) ทำหน้าที่เป็นสารสื่อประสาทสำคัญที่เกี่ยวข้องกับความจำ การควบคุมกล้ามเนื้อ และหน้าที่อื่นๆอีกหลายอย่าง ปริมาณที่เพียงพอต่อร่างกายใน 1 วัน (Adequate Intake) สำหรับผู้ใหญ่ เพศชาย และ หญิง คือ 550 mg และ 425 mg ตามลำดับ (อ้างอิงที่ 4)
วิตามินเหล่านี้ มีอยู่ในอาหารต่างๆอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม เนื่องจากภาวะรีบเร่งในชีวิตประจำวันส่งผลทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยน ไป ดังนั้นโอกาสที่จะได้รับประทานอาหารที่หลากหลายครบ 5 หมู่จึงเป็นไปได้ยาก เช่น ผู้ที่ทำงานในสำนักงาน ช่วงเช้ารีบเร่งจนไม่ได้รับประทานอาหารเช้า กลางวันก็มักจะรับประทานอาหารจานเดียว เป็นต้น ดังนั้น ทางเลือกหนึ่งที่ช่วยป้องกันให้ไม่ขาดสารอาหารเหล่านี้คือ รับประทานเครื่องดื่มที่มีการเติมสารอาหารเหล่านี้ลงไป หรืออาจรับประทานในรูปของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร อย่างไรก็ตาม ไม่แนะนำให้รับประทานผลิตภัณฑ์ที่เป็นยา เนื่องจากจะมีปริมาณของวิตามินสูงมาก ซึ่งทั่วๆไปนั้น มักจะใช้รักษาผู้ป่วยที่แสดงอาการ ของการขาดวิตามิน แล้วเท่านั้น
เอกสารอ้างอิง :
- วิตามิน...กินให้เป็น (ตอนที่ 1). ฝ่ายเทคโนโลยีอาหาร สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.). http://www.tistr-foodprocess.net/food_health/food_health18.htm
- ประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 182 ) พ.ศ.2541 เรื่อง ฉลากโภชนาการ. สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข
- ประกาศสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เรื่อง การแสดงข้อความกล่าวอ้างเกี่ยวกับหน้าที่ของสารอาหาร. สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข
- Dietary Reference Intakes for Thiamin, Riboflavin, Niacin, Vitamin B6, Folate, Vitamin B 12, Pantothenic acid, Biotin and Choline. 12 Choline. The National Academies Press. pages 390-422. http://www.nal.usda.gov/fnic/DRI//DRI_Thiamin/390-422_150.pdf
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น